วันพุธที่ ๒๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

ความอาฆาตเป็นไฟ-ดับได้เย็นสบาย

ชีวิตเป็นของไม่ยั่งยืน, ความตายเป็นของยั่งยืน, อันเราจะพึงตายเป็นแท้, ชีวิตของเรา มีความตาย เป็นที่สุดรอบ, ชีวิตของเราเป็นของไม่เที่ยง, ความตายของเราเป็นของเที่ยง, ควรที่จะสังเวช,ร่างกายนี้, มิได้ตั้งอยู่นาน, ครั้นปราศจากวิญญาณ, อันเขาทิ้งเสียแล้ว, จักนอนทับ, ซึ่งแผ่นดิน, ประดุจดังว่าท่อนไม้และท่อนฟืน, หาประโยชน์มิได้, สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ, มีความเกิดขึ้นแล้วมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา, ครั้นเกิดขึ้นแล้ว ย่อมดับไป, ความเข้าไปสงบระงับ สังขารทั้งหลายเป็นความสุขอย่างยิ่ง

นี่คือคำแปลบทพระธรรมจากส่วนหนึ่งของบทพิจารณาสังขาร อ่านแล้วรู้สึกอย่างไร สำหรับผู้เขียนรู้สึกทันทีที่อ่านจบว่า ชีวิตนี้สั้นหนอ ชีวิตนี้มีความตายเป็นที่สุดหนอ และชีวิตที่เหลือจากนี้ไปไม่เที่ยงหนอ นี่คือความรู้สึกส่วนตัวซึ่งเกิดขึ้นอย่างเด่นชัดไม่มีอะไรเด่นกว่านี้อีกแล้ว สุดท้ายยังรู้สึกอีกว่า เรามีความตายเป็นของเที่ยงจริงๆ ต่อจากนี้ไปทุกลมหายใจ เข้า-ออกล้วนต้องมีประโยชน์เพียงฝ่ายเดียว หากเป็นสิ่งที่ชั่วขุ่นมัวเราของดเว้น หากเป็นสิ่งดีสิ่งประเสริฐต่อตนและต่อผู้อื่นจะรีบขวนขวายเร่งกระทำต่อไปจนกว่าความตายที่เป็นของเที่ยงจะมาถึง เพื่อหัวใจที่สงบและสะอาดเท่านั้น

ครั้งหนึ่ง ในชีวิตเราเคยโกรธ ครั้งหนึ่งในชีวิตเราเคยเกลียด ครั้งหนึ่งในชีวิตเราเคยแอบน้อยใจ ครั้งหนึ่งในชีวิตเราเคยอิจฉาริษยา และครั้งหนึ่งในชีวิตเราเคยท้อแท้ถดถอย ครั้งหนึ่งในชีวิตเราเคยอาฆาตพยาบาทจองเวรและคิดชั่วกับผู้อื่นและต่อตนเองจะด้วยเพราะเหตุไรก็ตาม ขอให้สังเกตว่าในขณะนั้น หัวใจมันร้อน พุพอง ปวดแสบปวดร้อน นอนไม่ได้ กินไม่ได้ ดิ้นรนทุรนทุราย ลูบคลำใจทีไรเหมือนมีหนามมาทิ่มแทง นี่หรือความสุขที่เก็บไว้แนบอก แต่ถ้าลองมองย้อนไปตอนที่หัวใจในขณะมีเมตตา กรุณา หรือช่วงเวลาที่ใจมันเฉยๆ ตอนนั้นใจมันสุข นุ่มนวล เย็นสบาย และชุ่มชื้นชื่นอกชื่นใจอิ่มเอิบ อย่างน่าประหลาดและน่าประคับประคองให้อยู่ในใจในกายไปตลอด ท่านเคยรู้สึกอย่างที่พูดนี้หรือไม่
เราเคยพร่ำบ่นหาเหตุผลของความอาภัพในชีวิตต่างๆนานาไหมว่า ทำไมความโชคร้ายจึงต้องมาเกิดขึ้นกับเราด้วย นั่นเพราะเรามัวมองแต่ตัวเอง มองครอบครัวคนรักของตัวเอง มองแต่จิตใจของตัวเอง แทบจะไม่เคยเงยหน้าไปมองสิ่งรอบข้าง คนรอบข้าง สังคมรอบข้างให้กว้างกว่านี้อีกสักนิด มองด้วยจิตใจที่ยุติธรรม และด้วยความเมตตาต่อเพื่อนร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย อย่างจริงจังสักครั้ง พวกเราสนใจแต่ตัวเองเท่านั้น นี่คนส่วนมากมักเป็นเช่นนี้ เมื่อไม่เคยมองคนอื่น โลกก็แคบไปอย่างถนัดตา ทุกอย่างล้วนดึงเข้ามาหาตัวเอง เอาเข้ามา เอาเข้ามา สูญเสียไปไม่ได้ ถ้าต้องมีการเสียก็ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนที่พึงพอใจ หากไม่เป็นที่พึงพอใจล้วนขัดใจในทันที นี่แหละหนอผู้ประมาทลืมความตาย การตายเป็นและการตายจาก ทุกอย่างล้วนต้องพลัดพรากไปในที่สุด แม้แต่ตัวเรา ร่างกายของเรา ทรัพย์สมบัติของเรา และ คนรักของเราก็ต้องสละและต้องทิ้งไปในที่สุด ไม่มีอะไรเป็นของเราจริงสักอย่าง ความยึดเป็นทุกข์ ทุกครั้งที่รู้ว่ายึดสังเกตได้ว่าใจมันคับแคบ ใจมันฟั่นเฝือ ใจมันหวาดระแวง เพราะกลัวสิ่งที่ยึดหายไป ยิ่งถ้าหายไปเพราะถูกยื้อแย่งด้วยแล้ว นอกจากจะรู้สึกสูญเสียแล้วยังเกิดความโกรธแค้น และที่สุดความรู้สึกโกรธแค้นนั้นก็กลายสภาพเป็นความพยาบาทอาฆาต ที่กล่าวเช่นนี้ เพราะ เขาเหล่านั้นไม่เชื่อในธรรม ไม่เข้าใจในกฎแห่งธรรมชาติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้ทรงตรัสไว้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเกิดขึ้น ล้วนตั้งอยู่ แล้วดับไปเป็นที่สุด มีรักมีชัง มีได้มามีเสียไป มียกย่องมีนินทา มีดำมีขาว มีได้ยศมีลาภมีเสื่อมยศเสื่อมลาภ นี่คือโลกธรรมแปด ถ้าเข้าใจก็หมดทุกข์ ไฟอาฆาตดับ ความเย็นของสายธารธรรมเข้ามาอาบชโลมใจให้เราได้ร่มเย็นเป็นสุข และที่สุดเกิดความเมตตาต่อตนเองและผู้อื่น โลกก็เกิดสันติสุข สันติสุขที่ใครๆถามหาแต่ไม่มีคนเริ่มต้นสร้างสันติสุข เพราะมัวแต่เกี่ยงกันและชิงดีชิงได้มากกว่ายอมเสียสละ การเป็นผู้ให้และการให้ที่ดีที่สุดนั้นคือ การให้อภัย ทั้งการให้อภัยผู้อื่นและให้อภัยตนเอง ให้โอกาสการเริ่มต้นใหม่กับโลกใบใหม่ของพวกเราทุกคน ทุกอย่างล้วนอยู่ภายใต้กฏแห่งธรรมชาติ คือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป นี่คือ กฏแห่งพระไตรลักษณ์

ทีนี้เรามากล่าวถึงเรื่องของความอาฆาต ตัวอาฆาตนี้เป็นตัวอันตรายที่สุด พอกล่าวคำว่า “อาฆาต” ก็ควรต้องมีคำว่า “พยาบาท” เข้ามาด้วยรวมเป็น อาฆาตพยาบาท หรือ พยาบาทอาฆาต เพียงได้พูดคำนี้ อาฆาต หรือ พยาบาท แค่นี้ยังรู้สึกสัมผัสถึงความโหดเหี้ยม ดุร้ายได้ในทันที มันเป็นความรู้สึกอยู่ภายในว่า น่ากลัว ร้อนลุ่มและไม่เป็นสุข เห็นทีความสุขจะไม่มีแน่ถ้าหากมีความอาฆาตพยาบาทเข้ามาใกล้หรือมาสิงสถิตกับเราหรือกับครอบครัวของเรา ความอาฆาตเกิดขึ้นที่ใดที่นั้นล้วนหายนะ ทั้งผู้ที่ผูกอาฆาตและผู้ถูกปองร้ายด้วยความอาฆาตต้องเดือดร้อนด้วยกันทั้งสองฝ่าย ไม่มีใครได้รับความสุขสงบไปได้ ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็น คน สัตว์ หรือวิญญาณ เมื่อไฟอาฆาตเข้ามาแผดเผาก็ล้วนแต่มอดไหม้ด้วยกันทั้งสิ้น ยิ่งอาฆาตมากเท่าไรความเสื่อม ความฉิบหายยิ่งรุนแรงเท่านั้น ไฟแห่งความอาฆาตสร้างความเศร้าสลดสังเวชใจยิ่ง โดยเฉพาะกับผู้ที่ยึดถือมันมาเป็นอารมย์ ยามหลับก็ยากที่จะหลับตานอน ยามตื่นก็พลุ่งพล่านดังน้ำในกะทะทองแดงรดรินใจให้เดือดพล่าน จะกินจะดื่มคอหอยก็ตีบตันไปเสียสิ้น ช่างทรมานกาย-ใจอย่างแสนสาหัส แววตาจากความเป็นมนุษย์กลายเป็นแววตาแห่งปีศาจร้าย ที่สุดจิตใจที่เคยอ่อนโยนกลับกลายเป็นจิตใจแห่งอสูรร้ายไปในทันที นี่แหละพลานุภาพร้ายแห่งความอาฆาตที่ทำลายล้างทุกผู้คนทุกตัวตนให้พินาศย่อยยับไปในที่สุด แล้วเรายังต้องการให้เจ้าตัวความอาฆาตมาผูกมิตรกับเราอีกหรือ เรายังรักมันอีกหรือ ในเมื่อมันไม่เคยสร้างสรรสิ่งที่ดีงามให้กับใครมีแต่จะทำลายล้างให้พินาศย่อยยับเพียงฝ่ายเดียวทั้งในโลกนี้และโลกหน้า มีความขาดทุนในการดำเนินชีวิตสถานเดียวเท่านั้น ผลที่ได้รับก็ไม่คุ้มค่า อาจจะได้รับโทษทัณฑ์จากกฏหมาย เมื่อตายไปก็ไปสู่นรกอเวจีเป็นที่หวัง ยิ่งถ้าตายในขณะที่จิตผูกพยาบาทอาฆาตด้วยแล้ว ดวงจิตนั้นจะพุ่งตรงลงสู่เหวนรกที่ต่ำที่สุดไม่มีโอกาสที่จะได้รับส่วนบุญส่วนกุศลจากใครได้เลย ทั้งมืดมิดทุกข์ ทรมานตราบนานเท่านานกว่าจะพ้นจากทุกข์นั้น ไม่น่าลงทุนกับเจ้าความอาฆาตแม้แต่สักนิดเดียว มันเป็นทุกข์ตั้งแต่ยังไม่ตายต่อเมื่อตายแล้วยังทุกข์อยู่ ครั้นได้ไปเกิดใหม่เพราะแรงอาฆาต ชีวิตใหม่ย่อมหาความสงบสุขไปไม่ได้

การให้อภัยเป็นการแก้แค้นที่ดีที่สุด เพราะสรรพสัตว์ทั้งหลายในโลกนี้ล้วนอยู่ภายใต้กฏแห่งกรรม

ไม่ว่าเราท่านทั้งหลายจะกระทำอะไรก็ตามทุกอย่างล้วนเป็นการกระทำที่ถูกจดบรรทึกโดยกรรมทั้งสิ้น ดังนั้นเมื่อบัญชีกรรมมีการจดบรรทึกอยู่ทุกตัวอักษร ทุกอักขระ ทุกพยัญชนะอย่างละเอียดปานนี้ แน่นอนไม่มีสัตว์หรือมนุษย์ตนใดหน้าไหนจะพ้นจากกรรมของตัวเองไปได้ ต้องได้รับผลกรรมของตนทั้งสิ้น สรุปได้ว่า เราจะอาฆาตทำลายล้างผู้ที่มาทำร้ายเรา หรือ แม้แต่การกระทำที่ตนทำร้ายตัวเอง ที่สุดการตกเป็นโจกย์หรือจำเลยของตนนั้น ทุกหยดของกรรมย่อมให้ผลกับเราอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ทั้งสิ้น อย่างสาสมเต็มเม็ดเต็มหน่วยจนกว่าจะสำนึกได้และเข้าใจชีวิต นั่นหมายถึงเข้าใจกรรม ต่อเมื่อการเริ่มต้นใหม่ที่เข้าใจกรรม ในลมหายใจที่เป็นการสร้างสมความสงบอันเป็นบุญเป็นกุศล นั่นแหละไฟอาฆาตจึงค่อยๆ ดับเย็นลง ความสงบและความเคารพในธรรม เชื่อในกฏแห่งกรรมเราก็จะรู้ว่าทุกชีวิตเกิดมาทำไม เกิดมาเพื่ออะไร เมื่อรู้จักกรรม ก็รู้จักธรรม รู้จักทุกข์เข้าใจในทุกข์ เราก็จักเริ่มมองเห็นฝั่งอันเป็นที่สุดแห่งแดนเกิด.
ขอความสงบเย็น และ สายธารแห่งธรรม จงช่วยดับไฟให้กับผู้ที่เคารพในพระรัตนตรัยและเคารพในธรรมทุกท่าน ความยุติธรรมของกรรมซึ่งเป็นธรรมชาติแท้จงมีแด่ผู้ใฝ่ในธรรมทุกท่านเทอญ.

เกษแก้ว ศรัทธาโพธิธรรม

วันศุกร์ที่ ๑๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

ธรรมกับความรักและการแต่งงาน

ความงดงามของพระพุทธศาสนาอยู่ตรงที่มีความหลากหลายของธรรมเหมือนกับสวนไม้ดอกนานาพรรณมีดอกไม้หลากสีสันให้คนเลือกเก็บได้ตามต้องการ ธรรมมีจำนวนมากมายหลายประเภทพร้อมที่จะให้แต่ละคนเลือกนำไปปฏิบัติได้ตามความต้องการ ใครอยากไปนิพพานก็มีโลกุตรธรรมสำหรับคนที่ต้องการพ้นโลก ส่วนใครที่อยากประสบความสำเร็จในโลกนี้ก็มีโลกิยธรรมให้นำไปปฏิบัติเพื่อชีวิตที่ดีกว่าในปัจจุบันสำหรับสามีภรรยาที่ต้องการความสำเร็จในชีวิตการแต่งงานก็มีธรรมสำหรับคนครองเรือนให้เลือกปฏิบัติ เป้าหมายแห่งการแต่งงานอยู่ที่การสร้างครอบครัวที่มีแต่ความรักใคร่กลมเกลียวโดยไม่มีการหย่าร้าง สามีภรรยาจะบรรลุถึงเป้าหมายดังกล่าวได้ก็ต่อเมื่อมีการปฏิบัติธรรมร่วมกัน การปฏิบัติธรรมจะช่วยให้ชีวิตคู่เข้มแข็งมั่นคงพอที่จะฝ่ามรสุมต่างๆไปได้ ดังนั้น คู่สามีภรรยาที่ต้องการมีชีวิตการแต่งงานที่ยั่งยืนตลอดไปต้องร่วมกันปฏิบัติธรรม
คำว่า ธรรม ในที่นี้หมายถึงคุณธรรมและจริยธรรม
คุณธรรม ได้แก่ คุณสมบัติที่ดีภายในจิตใจ เช่น ความรัก ความสงสาร ซึ่งช่วยให้คนเราทำหน้าที่ของสามีภรรยาได้โดยไม่ต้องฝืนใจ
จริยธรรม ได้แก่ หลักแห่งความประพฤติที่ดีงามที่จะต้องปฏิบัติเพื่อประโยชน์สุขของตนเอง ครอบครัว และสังคม จริยธรรมเป็นข้อปฏิบัติซึ่งกำหนดไว้โดยศาสนา วัฒนธรรม ประเพณีและกฎหมายว่าอะไรเป็นหน้าที่ที่สามีภรรยาจะต้องทำเพื่อความผาสุกแห่งครอบครัว

จริยธรรมเป็นเรื่องการควบคุมพฤติกรรมที่แสดงออกทางกายและทางวาจา ซึ่งคนอื่นสามารถรับรู้และประเมินได้ว่าเรามีจริยธรรมมากน้อยเพียงใด เช่น การที่สามีภรรยาต้องให้เกียรติกันและกันเป็น
จริยธรรมอย่างหนึ่ง คนทั่วไปสามารถมองเห็นได้ว่าสามีภรรยาคู่นี้ให้เกียรติกันและกันหรือไม่ ตรงกันข้ามกับคุณธรรมซึ่งเป็นเรื่องภายในจิตใจซึ่งยากที่คนทั่วไปจะตรวจสอบได้ว่ามีมากน้อยเพียงใด เช่น ความรักเป็นคุณธรรมอย่างหนึ่ง คนอื่นไม่สามารถจะมองเห็นความรักภายในจิตใจของเราว่ามีมากน้อยเพียงใด เท่าที่คนทั่วไปจะทำได้ก็คือคาดคะเนจากพฤติกรรมภายนอกของเราว่าเรามีความรักในใจมากน้อยแค่ไหน
คุณธรรมเป็นรากฐานของจริยธรรม เมื่อสามีมีคุณธรรม คือ ความรักภรรยาอยู่ในหัวใจ เขาก็จะปฏิบัติหน้าที่ของสามีต่อภรรยาโดยไม่ต้องฝืนใจ ความรักทำให้สามียอมเสียสละความสุขส่วนตัวเพื่อครอบครัวของเขา ดังนั้น ความรักจึงเป็นรากฐานสำคัญของชีวิตการแต่งงาน คู่สามีภรรยาที่แต่งงานกันด้วยความรักจะสามารถปรับตัวเข้าหากันได้ดีกว่าคู่ที่แต่งงานกันโดยไม่มีความรัก เพราะความรักจะทำให้คู่รักยอมลงให้กันและทนกันได้

คำว่า ความรัก ในพระพุทธศาสนา มี ๒ ประเภท ดังนี้
๑. เปมะ ได้แก่ ความรักใคร่หรือความรักแบบโรแมนติกซึ่งเกิดจากสาเหตุ ๒ ประการ คือ (๑) บุพสันนิวาสหญิงชายเคยอยู่ร่วมกันมาแต่ชาติปางก่อนเมื่อเกิดใหม่มาพบกันในชาตินี้จึงเป็นเนื้อคู่กันและรักกัน (๒) การดูแลช่วยเหลือเกื้อกูลกันในชาติปัจจุบันก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งของความรัก แม้หญิงชายจะไม่เคยอยู่ร่วมกันมาแต่ชาติปางก่อน ทั้งคู่ก็รักกันได้เพราะความมีน้ำใจของอีกฝ่ายหนึ่งที่คอยช่วยเหลือเกื้อกูลกัน
๒. เมตตา ได้แก่ ความปรารถนาดีหรือความหวังดีที่จะให้คนอื่นมีความสุข ซึ่งเกิดจากการมองเห็นความดีงามหรือความน่ารักของคนอื่นแล้วเกิดความประทับใจจนถึงกับคิดส่งเสริมให้เขามีความดีงามหรือความน่ารักยิ่งๆขึ้นไป
ชีวิตการแต่งงานจะยั่งยืนนานถ้ามีความรักทั้งสองอย่าง คือ มีทั้งความรักแบบโรแมนติก และ ความรักแบบเมตตาเป็นพื้นฐาน ความรักแบบโรแมนติกสร้างความสุขความเพลินใจเมื่ออยู่ใกล้คนรัก แต่ไฟแห่งความรักใคร่มักโชติช่วงอยู่ได้ไม่นาน ความเคยชินเพราะอยู่ด้วยกันมานานมักทำให้ความรักใคร่จืดจางไปได้ ด้วยเหตุนี้ เราจึงต้องมีความรักแบบเมตตาตามประกบความรักใคร่เพื่อให้ความรักยั่งยืนยาวนาน
ความรักแบบโรแมนติกถูกความน่ารักน่าปรารถนาของคู่ครองเป็นเครื่องกระตุ้นให้เกิดอารมณ์รัก ความรักใคร่นี้มีธรรมชาติไม่แน่นอน เวลาใดคนรักทำตัวมีเสน่ห์น่ารัก เวลานั้นอารมณ์รักใคร่ก็จะเบ่งบานมีพลัง เวลาใดคนรักเอาแต่ใจทำตัวไม่น่ารัก เวลานั้นความรักใคร่ก็จะอับเฉาร่วงโรย ความรักใคร่แบบโรแมนติกจึงมีสภาวะขึ้นลงตามปัจจัยเงื่อนไขภายนอกอัน ได้แก่ กิริยาอาการของคนรักเป็นสำคัญ
ความรักใคร่แบบโรแมนติกเกิดโดยสิ่งเร้าภายนอกจากคนรักเป็นสำคัญจึงมีสภาวะไม่คงที่ถาวร สามีภรรยาที่ประสงค์จะทำให้ความรักใคร่เข้มแข็งมั่นคงต้องผสมความรักแบบโรแมนติก ด้วยความรักแบบเมตตา
ความรักแบบโรแมนติกเปรียบเหมือนรถยนต์ที่อาศัยคนอื่นคอยเติมเชื้อเพลิงให้อยู่เสมอจึงจะแล่นไปได้ แต่ความรักแบบเมตตาเปรียบเหมือนรถยนต์ที่เจ้าของผลิตเชื้อเพลิงได้เองอย่างไม่มีขีดจำกัดจึงแล่นไปได้ตลอดเวลา ทั้งนี้เพราะความรักแบบเมตตาเป็นสิ่งที่ใจเราสร้างขึ้นมาเองด้วยการฝึกมองให้เห็นความดีงามของคนอื่น คนเราจะมีเมตตาในใจได้ต้องฝึกมองโลกในแง่ดี ถ้าสามีภรรยาสามารถฝึกใจให้มองแต่แง่ดีของคู่ครอง ต่างฝ่ายต่างจะรักกันและกันได้ตลอดเวลาแม้แต่ในยามที่อยู่ด้วยกันมานานจนข้อบกพร่องของอีกฝ่ายหนึ่งเริ่มปรากฏออกมา สามีภรรยาต้องสามารถทำใจให้มองข้ามข้อบกพร่องเหล่านั้นและเพ่งความสนใจไปอยู่ที่ความดีงามของคู่ครอง ดังคำประพันธ์ที่ว่า

มองโลกแง่ดีมีผล เห็นคนอื่นดีมีค่า ปลุกใจให้เกิดศรัทธา ตั้งหน้าทำดีมีคุณ

วันพุธที่ ๑๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๑

การอยู่ร่วมกับทุกข์อย่างมีความสุข

การอยู่ร่วมกับทุกข์อย่างมีความสุข


ทุกข์ เป็นคำที่ทุกคนรังเกียจไม่อยากได้เป็นเจ้าของ ต่างพากันผลักไสทุกข์ให้ออกไปไกลตัว ความทุกข์เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องเคยมีประสพการณ์กับมันมาทั้งสิ้น แต่ถ้าคิดให้ดีทุกข์เป็นเพื่อนแท้ที่ไม่ยอมทิ้งเราไปง่ายๆคอยติดตามเราไปทั่วทุกหนแห่ง ทุกลมหายใจเข้าออก เป็นเงาตามตัวที่ซื่อสัตย์จงรักภักดียิ่งกว่าอะไรทั้งมวล บางครั้งตัวทุกข์ก็แสดงตัวเป็นเจ้านายที่มีเดชมีอำนาจเหนือเราจนเราจนไม่สามารถบังคับตัวเองได้และจะปฏิเสธความทุกข์ไม่ให้มีกับเราก็ไม่ได้อีก แต่ที่แน่ๆความทุกข์ช่างจงรักภักดีกับเราเหลือเกินคอยอยู่ในใจ-ในกายของเราตลอดเวลาไล่เท่าไรก็ไม่ไป ดื้อด้านจริงหนอ!
ทุกข์ เป็นเหตุให้เกิดการเรียนรู้ เป็นเหตุให้เห็นความจริงที่มีอยู่ในโลก เป็นเหตุให้สำเร็จมรรคผลนี่คือ สิ่งที่องค์พระสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ พระองค์ท่านได้เห็นทุกข์ที่ทุกคนไม่อยากได้ไม่อยากพบเห็น และสิ่งที่ท่านเห็นนั้นเป็นสิ่งที่เป็นธรรมดาเหลือเกินสำหรับพวกเรา ความเกิด แก่ เจ็บ ตายเป็นเรื่องธรรมชาติจนเรามองข้ามไป แต่องค์พระสรรพพัญญูพระบรมบิดาแห่งเราท่านได้เห็นแล้วพิจารณาว่านี่เป็นทุกข์ที่ยิ่งใหญ่ เกิดความสงสารสุดประมาณจนต้องหาทางดับทุกข์นั้นให้ได้ พระองค์ทรงเสียสละทุกอย่างที่มี เพื่อที่จะได้แสวงหาหนทางแห่งความดับทุกข์นั้นเดิมพันกันด้วยชีวิตเลยทีเดียว ที่สุดพระบรมศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้พบวิธีพ้นทุกข์หนทางแห่งความสุขที่สงบเย็นอย่างไม่เหลือเชื้อแห่งไฟ(ไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ) อีก ท่านได้สำเร็จวิชาการก้าวออกจากทุกข์แล้วท่านก็ทรงมีน้ำพระทัยที่เปี่ยมไปด้วยพระกรุณาอย่างที่สุด ที่จะช่วยให้เราทั้งหลายสรรพสัตว์ในโลกนี้ได้เดินตามก้าวไปสู่หนทางแห่งการพ้นทุกข์นั้นด้วยแต่หนทางนี้ทุกคนต้องเดินเอง ไม่สามารถไหว้วานหรือฝากให้ใครทำแทนได้ อีกทั้งต้องมีความตั้งใจอย่างสูงสุดที่จะก้าวเดินไปจนถึงเส้นชัยนั้น คือ นิพพาน ความทุกข์เป็นของคู่โลกมีมานานมาก แม้แต่องค์พระศาสดาพระพุทธสัมมาสัมพุทธเจ้า จะไม่อุบัติขึ้นมาในโลกนี้ทุกอย่างก็มีอยู่ก่อนแล้วทั้งสุขและทุกข์ต่างๆที่เป็นสมมติในโลกนี้ นี่คือคำที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้ให้พวกเราได้ทราบ
มาเดินตามรอยพระบาทแห่งองค์พระศาสดากันเถอะเพื่อจะได้พ้นจากกองทุกข์กันเสียที
ถ้าคนเรายังไม่รู้จักทุกข์ก็คงจะออกจากทุกข์ได้ยากและคงไม่รู้จักสุขที่แท้จริง ความสุขที่มีอยู่แบบโลกๆ นั้นไม่ใช่สุขแท้จริงเป็นเพียงสุขปลอมๆที่มีนายใหญ่คือ ตัวทุกข์เป็นผู้ชักใยบงการอยู่เบื้องหลังอย่างแยบยลซ่อนเร้นอำพรางทำจนเราตายใจรักความทุกข์อย่างถอนตัวไม่ขึ้น เราท่านก็รักชอบตัวทุกข์อย่างสนิทใจโดยไม่รู้ตัว ในโลกแห่งความเป็นจริงมีอยู่ว่า ความเกิดเป็นทุกข์ ความแก่เป็นทุกข์ ความมีโรคภัยเบียดเบียนเป็นทุกข์ การเสียของ-รักหมดความชอบใจเป็นทุกข์ การไม่ได้มาและการเสียไปเป็นทุกข์ ที่สุดตายไปยังเป็นทุกข์และตราบใดการที่ยังไม่เข้าหนทางแห่งนิพพานก็ยังต้องเป็นทุกข์ต่อไป แต่จะมีใครสดุดหยุดคิดบ้างหรือไม่ว่า อีกหนทางหนึ่งที่ทุกคนเรียกหาปราถนาขวนขวายเพื่อให้ได้มาก็เป็นทุกข์เช่นกัน คือ ความต้องการมีอายุไว้ ความไม่แก่ ไม่เจ็บ และไม่ตาย ความรัก ความร่ำรวย ความมีอำนาจวาสนา ฯลฯ ความต้องการที่ทะยานอยากต่างๆ (ตัวตัณหาอุปาทาน) ตลอดเวลาที่ไม่รู้จักอิ่มจักพอเสียที ต้องการที่ จะมี จะเป็น จะได้มา ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมากมาย ยิ่งได้ยิ่งอยากสุดท้ายยิ่งทุกข์ เป็นมหันตทุกข์เสียด้วย เมื่อพอจะเข้าใจเรื่องทุกข์แล้วต้องมาดูว่าเหตุของทุกข์เกิดจากอะไร สิ่งมีชีวิตเท่านั้นจึงรู้จักทุกข์ สิ่งที่มีจิตวิญญาณเท่านั้นจึงรู้จักทุกข์ สิ่งที่มีการเกิด-การตาย, มีกาย-มีใจ และเมื่อมีเวทนาเกิด จึงรู้ว่าทุกข์ทุรนทุรายอยากออกจากทุกข์ ขวนขวายหาวิธีออกจากทุกข์กันทั้งสิ้น
ทุกข์แบ่งออกเป็น 2 อย่าง คือ ทุกข์กาย (รูปธรรม) และทุกข์ใจ (นามธรรม)
๑. ทุกข์กาย(รูปธรรม) อันมีอาการต่างๆ ทางกาย เริ่มตั้งแต่การที่ดวงจิตมาจุติในครรถ์มารดา ก็ทุกข์แล้ว ทุกข์นั้นไปแอบแฝงและแสดงออกที่ผู้เป็นบิดา-มารดา ผู้ที่ต้องคอยถนอมรักษาลูกในท้องให้อยู่ดีมีสุข ปลอดภัย กว่าจะเจริญเติบโตแล้วคลอดออกมาอย่างปลอดภัยก็ต้องร่วมทุกข์ร่วมสุขกันยาวนานถึง 9 เดือน เริ่มต้นจาก เรื่องปากท้อง เรื่องสุขภาพ เรื่องความปลอดภัยของเด็กในครรถ์และของผู้เป็นมารดา, เรื่องของการสร้างเนื้อสร้างตัวเพื่อรองรับสมาชิกใหม่(หน้าที่นี้ส่วนใหญ่ตกอยู่กับผู้เป็นสามีหรือบิดาของเด็กในครรถ์นั้น) การวาดฝันวางเรื่องอนาคตของแต่ละครอบครัวที่ต้องดิ้นรนแสวงหาอีกมากมายนั่นคือ ความวุ่นวายรุ่มร้อนเป็นทุกข์ไปทุกลมหายใจ แล้วก็เติบโตเป็นเด็ก วัยรุ่น วัยกลางคน วัยชรา ที่สุดหมดวัยหมดอายุขัย กว่าหมดวัฏจักรแห่งชีวิตในหนึ่งรอบชาติอายุขัย นั่นคือ ตาย บทสรุปชีวิตของแต่ละคนก็ไม่เท่ากันว่ารอบของชาตินั้นๆได้ทำประโยชน์อะไรบ้างจากการที่ได้เกิดมาเป็นคนทั้งที เกิดมาชาตินี้ค้นหาคำตอบของชีวิตว่าเกิดมาทำไมเจอหรือยัง ถ้ายังไม่เจอก็กลับมาเกิดใหม่อีกไม่จบสิ้น ฟังดูไม่ซับซ้อนแต่ถ้าพิจารณาดูให้ลุ่มลึกมันไม่ใช่เรื่องที่ปล่อยไปวันๆได้เลย มันควรที่จะต้องสังวรสำรวมระวังไม่ตกอยู่ในความประมาทเลยแม้แต่น้อย
๒. ทุกข์ใจ(นามธรรม)ก่อนที่จะพูดเรื่องทุกข์ของใจก็ต้องมาลองคิดตามพระธรรมขององค์สมเด็จพระพุทธเจ้าก่อนว่าสิ่งที่พระองค์ท่านให้ความรู้แก่พวกเราเรื่อง นามธรรม คืออะไร ที่ต้องพูดเรื่องนี้เพราะ นามธรรมเป็นสิ่งที่รู้ได้ยาก สังเกตุให้รู้ตัวเห็นตัวได้ยาก พวกเรามักจะตามดูตัวทุกข์ไม่ทัน ที่ยากกว่านั้นตามดูเหตุของการเกิดทุกข์นั้นไม่ทันยิ่งกว่า กว่าเราจะรู้สึกตัวเจ้าตัวทุกข์ก็เข้ามาสิงจนเต็มหัวใจแล้วทุกครั้งไป เรียกว่าหมดทางป้องกัน ที่เหลือเป็นวิธีหาทางแก้ไขเมื่อทุกข์มาเยือน (วัวหายแล้วจึงล้อมคอก) บางทีก็พบทางแก้ไขได้ไม่ยาก บางครั้งแทบจนหนทางหมดทางเยียวยากันไปเลยก็มี
แต่ถ้าเรามาคิดตามและลดทิฐิมานะลง น้อมกายใจให้เป็นผู้ว่าง่ายและทำตามพระธรรมคำสอนขององค์พระโลกะวิทูสัมมาสัมพุทธเจ้าพระผู้ซึ่งได้ประกาศและวางรากฐานวิชาดับทุกข์ที่ยิ่งใหญ่ไว้ให้กับโลก อีกทั้งค่อยๆ ก้าวเดินตามพระองค์ท่านไปอย่างช้า ตั้งสติให้ดี ก็จะทราบชัดว่า ทุกข์เป็นเรื่องป้องกันได้แก้ไขได้ ก่อนที่จะตกเป็นเหยื่อของทุกข์เป็นรายต่อไป หรือแม้ว่าความทุกข์นั้นจะมานั่งนอนในใจในกายของเราแล้วก็ไม่เป็นเรื่องยากเกินไปที่จะแก้ไขถ้าตั้งใจจริง แต่ที่สุดมนุษย์แทบทุกคนทุกยุคสมัยก็ยังหาวิถีทางดับทุกข์ในวิธีต่างๆของตนต่อไป แล้วเมื่อไหร่ถึงจะเจอเส้นทางของการดับทุกข์อันประเสริฐขององค์พระศาสดาได้เล่า ในเมื่อท่านและเราต่างมีทิฐิมานะที่จะแสดงความเป็นผู้ว่ายากกันอยู่เช่นนี้
พระพุทธเจ้าท่านได้ค้นหาวิธีดับทุกข์อย่างประเสริฐ์และเป็นเส้นทางตรงเส้นทางเดียวที่ไปสู่ทางดับทุกข์อย่างถาวร อันบริสุทธิ์ โดยไม่ต้องกลับมาวกเวียนวนอยู่กับกองทุกข์อีกต่อไป ศาสนาพุทธเป็นศาสนาเดียวที่กล่าวถึง นิพพาน เป็นศาสนาเดียวที่กล่าวถึงกฏแห่งกรรม และเป็นศาสนาเดียวที่ยืนยันว่ามนุษย์และสัตว์ทั้งหลายต้องเป็นไปตามกรรมหรือการกระทำที่ตนทำไว้ ตนแต่เพียงผู้เดียวที่จะต้องรับมรดกกรรมที่ตนสร้างไว้ทั้งหมด นี่คือจุดเริ่มต้นหรือจุดสตาร์ทที่เราจะก้าวออกจากทุกข์
สิ่งต่อไปนี้คือทุกข์ที่ปฏิเสธได้ยากหากยังต้องกลับมาเกิดอยู่และเป็นเรื่องของทุกข์ล้วนๆที่ทุกคนประมาทหลงลืมไป
1. เรามีความแก่เป็นธรรมดาไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้
2. เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดาไม่ล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปได้
3. เรามีความตายเป็นธรรมดาไม่ล่วงพ้นความตายไปได้
4. เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจของเจริญใจทั้งหลายไปทั้งสิ้น
5. เรามีกรรมเป็นของของตน, เป็นผู้รับผลของกรรมนั้น, เรามีกรรมเป็นกำเนิด, เรามีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์, เรามีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย, เราได้ทำกรรมอันใดไว้ จะดีหรือชั่วก็ตามเราย่อมเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น.

เมื่อเข้าใจดังนี้ นี่คือสิ่งที่องค์พระศาสดาของโลกองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราได้กล่าวสอนไว้ ดังเช่นนี้ พวกเราคงออกจากทุกข์ได้แน่นอน ถ้าแม้เราเกิดทุกข์ขอเพียงมีสติ ขอเพียงใช้หลักธรรมของพระพุทธเจ้ามาเป็นที่พึ่งอาศัย เกิดเป็นปัญญา เข้าใจโลกแห่งความเป็นจริงอันเป็นธรรมชาติแท้ของชึวิต นี่เป็นหนทางอันพ้นทุกข์และถ้ายังไม่พ้นทุกข์ก็พอจะทำให้เราอยู่กับความทุกข์อย่างมีรอยยิ้มบางๆบนใบหน้าได้ เป็นยารักษาชีวิตให้ได้สร้างความดี สร้างกุศลต่อไป เพื่อที่สุดคือดับทุกข์ ดับเย็นในปัจจุบันและอนาคต อย่างแน่นอน

ขอบารมีของคุณพระศรีพระรัตนตรัยจงคุ้มครองให้พวกเรามีความสงบเย็นสว่างด้วยปัญญาด้วยเทอญ.

เกษแก้ว ศรัทธาโพธิธรรม

วันอังคารที่ ๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๑

สร้อยประคำ มณีฤทธิโชติ รุ่น 1

สร้อยประคำ มณีฤทธิโชติ รุ่น 1

สร้อยประคำ มณีฤทธิโชติ รุ่น 1 มีให้เช่าเพื่อนำไปใช้ประกอบการทำสมาธิ, การสวดมนต์ เพื่อเป็นบุญกุศลและเป็นสิริมงคลแก่ตนและครอบครัว เป็นจุดรวมของพลังในตัวขณะที่ทำการสวดมนต์ หรือกล่าวพระคาถาอันศักดิ์สิทธิ์ เช่น พุทโธ, สัมมาอะระหัง, นะ มะ พะ ทะ, นำโม กวน สี่ อิม ผ่อ สัก, นำโม ออ นี ทอ ฮุก เป็นต้น ก็แล้วแต่ความถนัดหรือจริตของแต่ละคนไม่จำเป็นต้องเลียนแบบกัน
สร้อยประคำมณีฤทธิโชติ ของบ้านบุญบ้านเกษแก้วนี้ ได้ทำการอธิฐานจิตขอพลังจากเบี้องบนองค์เทพเจ้า ครูบาอาจารย์ โดยเฉพาะองค์พระโพธิสัตว์ อวโลกิตเตศวร กวนอิมเจ้า เพื่อโปรดแผ่ให้ผู้ที่นำไปใช้เกิดพลังแห่งธรรม เพิ่มบุญบารมีส่งเสริมให้มีความเจริญรุ่งเรือง ร่ำรวย ก้าวหน้าทั้งทางโลกและทางธรรม มีแต่สิ่งดีๆเข้ามาในชีวิต ขจัดปัดเป่าความทุกข์ทั้งปวงให้เบาบางลงจนถึงที่สุดหมดไป เมื่อสมาธิเกิดปัญญาญาณก็จะตามมา ที่สุดก็สามารถหลุดพ้นได้ เกิดเป็นมรรคเป็นผลด้วยกันทุกคน สาธุ สาธุ สาธุ โอม มณี ปัทเม ฮุง / อามี ทอ ฝอ ฮุก

ส่วนประกอบของสร้อยประคำ
๑. มณีฤทธิโชติ หยาดนฤทิพย์
การร้อยเรียงสร้อยประคำ เริ่มจากหินอาเกตหรือเรียกอีกอย่าง ว่า โมรา (Agate) เป็นหินสีเทา(ความจริงมีหลายสี) ร้อยเรียงสลับด้วย คริสตัลสีรุ้ง ซี่งมีพลังทางธรรมชาติ ช่วยส่งเสริมให้มีชีวิตชีวา สดชื่นเบิกบาน มีกำลังภายในดีเมื่อนำมาติดตัวเป็นประจำ หรือยิ่งนำมาใช้ในการทำสมาธิบริกรรมพระคาถา ยิ่งเกิดพลังมาก โบราณ ถือว่าเป็นหินนำโชคทั้งสองชนิด โดยเฉพาะ คริสตัง สีรุ้ง มีคุณสมบัติเหมือน เพรช มีฤทธิในเรื่องของการดูดทรัพย์และเพิ่ม บารมีแก่ผู้สวมใส่ อีกทั้งสะท้อนสิ่งชั่วร้ายให้ไกลจากตัว พลังแห่งหินอาเกตสามารถทำให้เจ้าของและครอบครัว มีความมั่งคั่งร่ำรวย เกิดความสำเร็จนานาประการ และที่สำคัญพลังของหินอาเกตช่วยให้กายและจิตใจเยือกเย็น สุขุม ไม่รุ่มร้อน สามารถป้องกันอันตรายจากเภทภัยทางธรรมชาติ และอุบัติภัยทางทางบก น้ำ อากาศ โดยเฉพาะผู้ที่เดินทางเป็นประจำควรมีติดตัวไว้เสมอ มีพลังทางธรรม ก่อให้เกิดสติ และรู้ใฝ่ในธรรมยิ่งขึ้น
ประกอบด้วย หินอาเกตสีเทาขนาด ๖ มิล ๑๐๔ เม็ด ร้อยสลับด้วย คริสตัลสีรุ้งขนาด ๖ มิล ๔ เม็ด ชายคริสตัลสีแดง เพื่อความเป็นสิริมงคลส่งเสริมทรัพย์ให้พอกพูล ขนาด ๖ มิล 3 เม็ด ตลอดสายร้อยสลับด้วยคริสตัล สีรุ้ง ๑๐๙ เม็ด ปล่อยชาย ๒ ชายด้วยคริสตัลสีรุ้ง ๑๘ เม็ด ราคา ๑,๑๑๙ บาท
๒. มณีฤทธิโชติ หยดนพคุณ
การร้อยเรียงสร้อยประคำ เริ่มจากหินคาร์เนเลียน (Carnelian) เป็นหินสี น้ำตาลแดงแกมส้ม(ความจริงมีหลายสี) ร้อยสร้อยเรียงสลับกับ มณีใต้น้ำ ๕ สี และ คริสตัลสีรุ้ง มีสีสรรที่สดใสส่องแสงประกายงดงามหน้าสวมใส่ แสดงถึง ความสดใส สดชื่นเริงร่า ไร้ทุกข์ไร้โศกปลอดโรคา เป็นการบ่งบอกถึงการมีชีวิตที่สดใหม่เสมอ หินคาร์เนเลียนมีพลังธรรมชาติในด้าน สร้างความเชื่อมั่นในตนเอง เป็นพลังแห่งการเป็นผู้นำ เป็นผู้กล้า และเปี่ยมล้นด้วยความสุขสมหวัง ช่วยบำบัดอารมณ์ขุ่นมัวโดยเฉพาะอารมณ์แห่งความหลงและความอิจฉา แผ่รัศมีทำให้คนรอบข้างอยากเข้าใกล้และอยากมอบความรักให้กับคุณ อยากให้การอุปถัมถ์ช่วยเหลืออย่างอัศจรรย์ คริสตัล มีพลังดั่งเพชร โดยเฉพาะเรื่องของโชคลาภเงินทองจะไม่ขาดมือ มั่งมีและเพิ่มพูน มณีใต้น้ำ มีพลังด้านบวกทำให้มีเสน่ห์ และประสิทธิเรื่องโชคลาภอย่างยิ่ง ประกอบด้วย หินคาเนเลียนสีน้ำตาลแดงขนาด ๖ มิล ๙๗ เม็ด ร้อยสลับด้วย คริสตัลสีรุ้งขนาด ๖ มิล ๕ เม็ด(เปรียบดั่งตัวแทนพระเจ้า ๕ พระองค์) และ มณีใต้น้ำ ๘ เม็ด (เปรียบดั่ง อริยมรรคมีองค์ ๘) ชาย ๒ ชาย ร้อยด้วยคริสตัลสีรุ้ง รวม ๒๐ เม็ด ทั้งหมดหมายถึง การอัญเชิญความศักดิ์และความเป็นสิริมงคลของพระเจ้า ๕ พระองค์ และรวมถึงอริยมรรค มีองค์ ๘ น้อมนำเข้ามาใส่ตัวเพื่อความเจริญทั้งทางโลกและทางธรรม ให้มั่งมีศรีสุขสวัสดิมงคลนาประการ

มาสร้างบุญ¬บารมีกันเถอะ

มาสร้างบุญ-บารมีกันเถอะ

1. นั่งสมาธิอย่างน้อยวันละ 15นาที (หรือเดินจงกรมก็ได้)อานิสงส์---เพื่อสติปัญญาที่เฉลียวฉลาดขึ้นทั้งภพนี้และภพหน้าเพื่อจิตใจที่สว่างผ่อนปรนจากกิเลส ปล่อยวางได้ง่ายจิตจะรู้วิธีแก้ปัญ­หาชีวิตโดยอัตโนมัติ ชีวิตจะเจริญ­รุ่งเรืองไม่มีวันอับจนผิวพรรณผ่องใส สุขภาพกายและจิตแข็งแรงเจ้ากรรมนายเวรและ­ญาติมิตรที่ล่วงลับจะได้บุญกุศล
2. สวดมนต์ด้วยพระคาถาต่างๆอย่างน้อยวันละครั้งก่อนนอน อานิสงส์---เพื่อให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง ชีวิตหน้าที่การงานเจริ­ญก้าวหน้าเงินทองไหลมาเทมา แคล้วคลาดจากอุปสรรคทั้งปวง จิตจะเป็นสมาธิได้เร็ว แนะนำพระคาถาพาหุงมหากา,พระคาถาชินบั­ญชร, พระคาถายอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก เป็นต้นเมื่อสวดเสร็จต้องแผ่เมตตาทุกครั้ง
3. ถวายยารักษาโรคให้วัด,ออกเงินค่ารักษาให้พระตามโรงพยาบาลสงฆ์อานิสงส์---ก่อให้เกิดสุขภาพร่มเย็นทั้งครอบครัว โรคที่ไม่หายจะทุเลาสุขภาพกายจิตแข็งแรง อายุยืนทั้งภพนี้และภพหน้า ถ้าป่วยก็จะไม่ขาดแคลนการรักษา
4. ทำบุญ­ตักบาตรทุกเช้าอานิสงส์--- ได้ช่วยเหลือศาสนาต่อไปทั้งภพนี้และภพหน้า ไม่ขาดแคลนอาหารตายไปไม่หิวโหย อยู่ในภพที่ไม่ขาดแคลน ข้าวปลาอาหารอุดมสมบูรณ์
5. ทำหนังสือหรือสื่อต่างๆเกี่ยวกับธรรมะแจกฟรีแก่ผู้คนเป็นธรรมทานอานิสงส์---เพราะธรรมทานชนะการให้ทานทั้งปวง ผู้ให้ธรรมจึงสว่างไปด้วยลาถยศ สรรเสริญ­ ปัญญา และบุญ­บารมีอย่างท่วมท้น เจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรมให้ชีวิตจะเจริญ­รุ่งเรืองอย่างไม่คาดฝัน
6. สร้างพระถวายวัดอานิสงส์---ผ่อนปรนหนี้กรรมให้บางเบา ให้ชีวิตเจริ­ญรุ่งเรือง สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง แคล้วคลาดจากอุปสรรคทั้งปวง ครอบครัวเป็นสุขได้เกิดมาอยู่ในร่มโพธิ์ของพุทธศาสนาตลอดไป
7. แบ่งเวลาชีวิตไปบวชชีพรามณ์หรือบวชพระอย่างน้อย 9 วันขึ้นไปอานิสงส์--- ได้ตอบแทนคุณพ่อแม่อย่างเต็มที่ผ่อนปรนหนี้กรรมอุทิศผลบุ­ให้­ญาติมิตรและเจ้ากรรมนายเวร สร้างปัจจัยไปสู่นิพพานในภพต่อๆไป ได้เกิดมาอยู่ในร่มโพธิ์ของพุทธศาสนาจิตเป็นกุศล
8. บริจาคเลือดหรือร่างกายอานิสงส์---ผิวพรรณผ่องใส สุขภาพแข็งแรง ช่วยต่ออายุต่อไปจะมีผู้คอยช่วยเหลือไม่ให้ตกทุกข์ได้ยาก เทพยดาปกปักรักษาได้เกิดมามีร่างกายที่งดงามในภพหน้า ส่วนภพนี้ก็จะมีราศีผุดผ่อง
9. ปล่อยปลาที่ซื้อมาจากตลาดรวมทั้งปล่อยสัตว์ไถ่ชีวิตสัตว์ต่างๆ อานิสงส์---ช่วยต่ออายุ ขจัดอุปสรรคในชีวิต ชดใช้หนี้กรรมให้เจ้ากรรมนายเวรที่เคยกินเข้าไป ให้ทำมาค้าขึ้นหน้าที่การงานคล่องตัวไม่ติดขัด ชีวิตที่ผิดหวังจะค่อยๆฟื้นคืนสภาพที่สดใสเป็นอิสระ
10. ให้ทุนการศึกษา,บริจาคหนังสือหรือสื่อการเรียนต่างๆ,อาสาสอนหนังสือ อานิสงส์---ทำให้มีสติปั­­าดี ในภพต่อๆไปจะฉลาดเฉลียวมีปั­­ญญา ได้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียนอย่างรอบรู้ สติปั­­ญญาสมบูรณ์พร้อม
11. ให้เงินขอทาน,ให้เงินคนที่เดือดร้อน(ไม่ใช่การให้ยืม)อานิสงส์---ทำให้เกิดลาภไม่ขาดสายทั้งภพนี้และภพหน้า ไม่ตกทุกข์ได้ยาก เกิดมาชาติหน้าจะร่ำรวยและไม่มีหนี้สิน ความยากจนในชาตินี้จะทุเลาลงจะได้เงินทองกลับมาอย่างไม่คาดฝัน
12. รักษาศีล 5 หรือศีล 8 อานิสงส์---ไม่ต้องไปเกิดเป็นเปรตหรือสัตว์นรก ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐครบบริบูรณ์ ชีวิตเจริญ­รุ่งเรืองกรรมเวรจะไม่ถาโถม ภัยอันตรายไม่ย่างกราย เทวดานางฟ้าปกปักรักษา อานิสงส์ 10 ข้อของการไม่กินเนื้อสัตว์
12.1. เป็นที่รักของบรรดาเทพ พรหม ตลอดจนมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย
12.2. จิตอันเป็นมหาเมตตาย่อมบังเกิดขึ้น
12.3. สามารถตัดขาดความอาฆาต ดับอารมณ์เหี้ยมโหดเครียดแค้นในใจลงได้
12.4. ปราศจากโรคภัยร้ายแรงมาเบียดเบียนร่างกาย
12.5. มีอายุมั่นขวัญ­ยืน
12.6. ได้รับการปกป้องคุ้มครองจากเทพทั้งปวง
12.7. ยามหลับนิมิตเห็นแต่สิ่งที่ดีงามเป็นสิริมงคล
12.8. ย่อมระงับการจองเวร สลายความอาฆาตแค้นซึ่งกันและกัน
12.9. สามารถดำรงอยู่ในกระแสพระนิพพาน ไม่พลัดหลงตกลงสูอบายภูมิ
12.10. ทันทีที่ละสังขารจากโลกนี้ จิตจะมุ่งสู่สุคติภพอานิสงส์การจัดสร้างพระพุทธรูปหรือสิ่งพิมพ์อันเกี่ยวกับพระธรรมคำสอนเป็นกุศลดังนี้
10.1.1. อกุศลกรรมในอดีตชาติแต่ปางก่อน จะเปลี่ยนจากหนักเป็นเบา จากเบาเป็นสูญ ­
10.1.2. สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง สรรพภยันตรายสลาย ปวงภัยไม่มีคนคิดร้ายไม่สำเร็จ
10.1.3. เจ้ากรรมนายเวรในอดีตชาติแต่ปางก่อน เมื่อได้รับส่วนบุ­ญไปแล้วก็จะเลิกจองเวรจองกรรม
10.1.4. เหล่ายักษ์ผีรากษส งูพิษเสือร้าย ไม่อาจเป็นภัยอยู่ในที่ใดก็แคล้วคลาดจากภัย
10.1.5. จิตใจสงบ ราศีผ่องใส สุขภาพแข็งแรง กิจการงานเป็นมงคล รุ่งเรืองก้าวหน้าผู้คนนับถือ
10.1.6. มั่นคงในคุณธรรม ความอุดมสมบูรณ์ปรากฏ (เกินความคาดฝัน) ครอบครัวสุขสันต์วาสนายั่งยืน
10.1.7. คำกล่าวเป็นสัจจ์ ฟ้าดินปราณี ทวยเทพยินดี มิตรสหายปรีดา หนี้สินจะหมดไป
10.1.8. คนโง่สิ้นเขลา คนเจ็บหายได้ คนป่วยหายดี ความทุกข์เข็ญหายไป­สตรีจะได้เกิดเป็นชายเพื่อบวช
10.1.9. พ้นจากมวลอกุศล เกิดใหม่บุญ­เกื้อหนุน มีปัญญ­­าล้ำเลิศ บุ­ญกุศลเรืองรอง
10.1.10.สิ่งที่สร้างจะบังเกิดเป็นกุศลจิตแก่ทุกคนที่ได้พบเห็นเป็นเนื้อนาบุญ­อย่างเอนกทุกชาติของผู้สร้างที่จะได้ฟังธรรมจากพระอริยเจ้า เกิดปัญญ­­าในธรรมแก่กล้าสามารถได้อภิ­­ญญาหก สำเร็จโพธิ­ญาณอานิสงส์การบวชพระบวชชีพรามณ์ (บวชชั่วคราวเพื่อสร้างบุ­ญ , อุทิศให้พ่อแม่เจ้ากรรมนายเวร)
1. หน้าที่การงานจะเจริญ­รุ่งเรือง ได้ลาภ ยศ สรรเสริญ­ตามปรารถนา
2. เจ้ากรรมนายเวรจะอโหสิกรรม หนี้กรรมในอดีตจะคลี่คลาย
3. สุขภาพแข็งแรง สติปัญญ­­าแจ่มใส ปัญ­หาชีวิตคลี่คลาย
4. เป็นปัจจัยสู่พระนิพพานในภพต่อๆไป
5. สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง โพยภัยอันตรายผ่อนหนักเป็นเบา
6. จิตใจสงบ ปล่อยวางได้ง่าย มองเห็นสัจธรรมแห่งชีวิต
7. เป็นที่รักที่เมตตามหานิยมของมวลมนุษย์มวลสัตว์และเหล่าเทวดา
8. ทำมาค้าขึ้น ไม่อับจน การเงินไม่ขาดสายไม่ขาดมือ
9. โรคภัยของตนเอง ของพ่อแม่ และของคนใกล้ชิดจะเบาบางและรักษาหาย
10. ตอบแทนพระคุณของพ่อแม่ได้เต็มที่ สำหรับผู้ที่บวชไม่ได้เพราะติดภาระกิจต่างๆ ก็สามารถได้รับอานิสงส์เหล่านี้ได้ด้วยการสร้างคนให้ได้บวชสนับสนุนส่งเสริมอาสาการ ให้คนได้บวช ทั้งหมดนี้เป็นเพียงตัวอย่างบุ­ญที่ยกขึ้นมาเพื่อแสดงให้เห็นถึงอานิสงส์ที่ท่านพึงจะได้รับจงเร่งทำบุญ­เสียแต่วันนี้ เพราะเมื่อท่านล่วงลับท่านไม่สามารถสร้างบุญ­ได้อีกจนกว่าจะได้เกิด หากท่านไม่มีบุญ­มาหนุนนำแรงกรรมอาจดึงให้ท่านไปสู่ภพเดรัจฉาน ภพเปรต ภพสัตว์นรกที่ไม่อาจสร้างบุญ­สร้างกุศลได้ต่อให้­ญาติโยมทำบุ­ญอุทิศให้ก็อาจไม่ได้รับบุญ­ ดังนั้นท่านจงพึ่งตนเองด้วยการสร้างสมบุญ­บารมีซึ่งเป็นทรัพย์สินที่ท่านจะนำติดตัวไปได้ทุกภพทุกชาติเสียแต่วันนี้ด้วยเทอญ.­

วันพุธที่ ๓ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๑

ธรรมมะกับงาน แง่คิดดีๆ โดยพระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต

ธรรมมะกับงาน

โดยพระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต

อาตมาอ่านเจอกลอนในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง ที่ผู้เขียนระบายไว้ได้สาแก่ใจมากเลย
เร็ว ก็หาว่าล้ำหน้า
ช้า ก็หาว่าอืดอาด
โง่ ก็ถูกตวาด
พอฉลาด ก็ถูกระแวง
ทำก่อน บอกไม่ได้สั่ง
ทำทีหลัง บอกไม่มีหัวคิด
เฮ้อ นี่แหละชีวิตคนทำงาน
ข้างต้น น่าจะเป็นกลอนที่โดนใจบรรดาคนทำงานหลายๆ คน เพราะสะท้อนความรู้สึกกดดันอย่างชัดเจน
ซึ่งจากการได้พูดคุยกับโยมที่เข้ามาปรึกษาหารือถึงสาเหตุที่ทำงานกันอย่างไม่มีความสุขก็มีปัจจัยมากมาย เช่น ทำงานที่ตัวเองไม่ถนัด ทำงานที่ไม่ชอบ โดนหัวหน้างานกดขี่ หรือรู้สึกว่าหน้าที่ที่ตัวเองได้รับมอบหมายนั้นต่ำต้อย ฯลฯ
โดยจะว่าไปแล้ว บริษัทก็เหมือ นกับบ้านหลังที่สองของเรา บางคนใช้ชีวิตในบริษัทมากกว่าที่บ้านซะอีก เพราะต้องตื่นขึ้นมาทำงานตั้งแต่ตี ๔ ตี ๕ กลับถึงบ้านก็ ๒-๓ ทุ่ม วันหนึ่งมี ๒๔ ชั่วโมง หากต้องใช้ชีวิตในการทำงาน (รวมนั่งรถไป-กลับ) วันละ ๑๐ กว่าชั่วโมงแล้ว ถ้าโยมไม่มีความสุขกับงานที่ทำ จึงเป็นเรื่องที่น่าเห็นใจมากๆ
อาตมาชอบใจคุณยามที่บริษัทแห่งหนึ่งมาก เคยถามเขาว่า ไม่เบื่อเหรอ เปิดประตูทั้งวัน เขาตอบกลับอย่างฉะฉานว่า " ไม่เบื่อหรอกครับท่าน เพราะคนจะเข้าไปที่นี่ได้หรือไม่ได้ มันอยู่ที่ผม ถ้าผมไม่เปิดประตู ไม่อนุญาตหรือบอกไม่ให้เข้า เขาก็ไม่ได้เข้านะ อย่างพระอาจารย์มาบรรยายที่นี่ ผมไม่ให้เข้าก็ได้ ... แต่ผมให้เข้าครับ " ( แล้วไป)
อาตมาจึงไม่แปลกใจเลย เวลาไปทำธุระที่บริษัทนี้ทีไร มักเห็นเจ้าหมอนี่ ทำหน้าที่ตัวเองอย่างกระตือรือร้น ก็เพราะเขามีทัศนคติที่ดีต่อหน้าที่ เห็นความสำคัญของตัวเอง จึงทำให้เขาทำงานได้อย่างมีความสุข (แถมมีมุขอำกลับอาตมาอีกต่างหาก)
ดังนั้นอาตมาจึงอยากจะหนุนใจญาติโยมที่กำลังรู้สึกย่ำแย่กับงานของตัวเองว่า
ถ้าเราทำงานจนเมื่อยมือเหลือเกิน
ก็จงดีใจเถอะ ที่มีมือให้เมื่อย
ถ้าเราเดินไปเดินมาจนปวดขาเหลือเกิน
ก็จงดีใจเถอะ ที่มีขาให้ปวด
ถ้าเราเห็นหัวหน้า แล้วเซ็งเหลือเกิน
ก็จงดีใจเถอะ ที่มีหัวหน้าให้เซ็ง
ถ้าเราเห็นงาน แล้วเราเบื่องานเหลือเกิน
ก็จงดีใจเถอะ ที่มีงานให้เบื่อ
เพราะหลายคนพอไม่มีงานให้ทำ ก็จะประท้วงกัน อยากทำงาน ! อยากทำงาน ! ดังนั้นเมื่อคุณโยมมีโอกาสทำแล้ว ก็จงทำให้ดีที่สุด เริ่มต้นด้วยการเปลี่ยนทัศนคติต่องานที่ทำก่อน เห็นความสำคัญของหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้ได้ ทำมันอย่างเต็มที่และดีที่สุด เหมือนดั่งคุณยามที่อาตมายกมาเป็นตัวอย่างข้างต้น
อาตมาเคยอ่านเจอคำแนะนำของท่านพระธรรมปิฎก ( ป.อ.ประยุตฺโต) ในหนังสือเล่มหนึ่ง ท่านเขียนชี้แนะไว้ว่า
งานมีผลตอบแทนสองชั้นด้วยกัน
ผลตอบแทนชั้นที่ ๑ คือ ตอนเงินเดือนออก นี่คือความสุขชั้นที่หนึ่ง ซึ่งหลายๆ คนมีความสุขในการทำงานแค่วันนั้นวันเดียว แต่ถ้าเราสามารถพัฒนาตัวเองไปพร้อมกับงานได้ มันก็จะก้าวไปสู่อีกระดับ อันนำมาซึ่งผลตอบแทนหรือความสุขชั้นที่ ๒ นั่นเอง
หนึ่งเดือน คุณโยมอยากมีความสุขเพียง ๑ ชั้น หรือ ๒ ชั้น ก็เลือกเอาตามใจชอบเลย
เจริญพร.

วันศุกร์ที่ ๒๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

ชีวิตที่สดใส

ชีวิตที่สดใส

ทำอย่างไรชีวิตถึงดีขึ้น เป็นคำถามโลกแตกที่ได้ยินตลอดเวลา ทุกชาติทุกภาษา ทุกชนชั้น พูดคำนี้หมด บางท่านพูดจนจำไม่ได้ว่าในหนึ่งชีวิตได้เอ่ยคำนี้มากี่ครั้งแล้ว นั่นสิ ทำอย่างไรชีวิตนี้จึงจะดีขึ้น บางคนบนบานศาลกล่าวขอให้มีชีวิตดีเถิด จะแก้บนด้วยนั่นนี่ตามกำลังฐานะของแต่ละคน หวังพึ่งพาอาศัยอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้เกิดกำลังใจเป็นความหวังแบบหวังน้ำบ่อหน้า ท่านหลวงปู่โตพรหมรังสี เคยกล่าวไว้ว่า อย่าได้ขอบารมีจากใครเลย เพราะเมื่อท่านไม่สร้างด้วยตนเองแล้วจะหวังให้ใครช่วย หากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยได้จริงๆ แล้วต่อไปภายหน้าจะเอาทุนบุญกุศลที่ไหนมาชดใช้คืนให้กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ ในเมื่อเราไม่ได้มีไม่ได้สร้างด้วยตัวเอง มัวแต่ขอและหยิบยืมของคนอื่นตลอดเวลาเช่นนี้
ที่จริงแล้วชีวิตของเรานั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับใครทั้งสิ้น ตัวเรานี่แหละเป็นเจ้าของไม่ว่าเราจะสุขหรือทุกข์ ร่ำรวยหรือยากจน มีร่างกายครบสามสิบสองหรือพิกลพิการ สวยงามหรือขี้เหล่สักปานใดล้วนเป็นเรื่องของบุญธรรมกรรมแต่งทั้งสิ้น หากเราเข้าใจเพียงเท่านี้ทุกอย่างย่อมเสกสรรได้ด้วยสองมือกับหนึ่งหัวใจนี่แหละ เพียงแต่ที่ผ่านมาเราไม่เข้าใจเรื่องของบุญธรรมกรรมแต่ง ปล่อยให้ชีวิตเป็นไปตามเวรตามกรรมอย่างไม่มีเข็มทิศนำทาง ไม่คิดจะเป็นสถาปนิกชีวิตกันบ้างเลย บ้านช่องก็ต้องการคนตกแต่งดูแล ชีวิตก็ต้องการการตกแต่งดูแลเช่นกัน ความจริงพูดแค่นี้ก็เข้าใจในธรรมได้แล้ว (สำหรับคนที่ปฏิบัติธรรมมาบ้าง ยิ่งถ้าใครปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัดยิ่งเป็นสถาปนิกมือเอกเลยทีเดียว)
ลองมาตั้งต้นคิดหาสิ่งตกแต่งชีวิตที่วิจิตรในทางบุญกันดูบ้างเป็นไร เริ่มจากการซื้อที่ดิน เคยได้ยินไหมว่า ทำบุญกับผู้ทรงธรรมบริสุทธิ์ย่อมได้บุญสูงยิ่งถ้าได้ทำกับพระปัจเจกเมื่อตอนที่ท่านออกจากสมาบัติใหม่ๆยิ่งเป็นมหากุศลอันยิ่งหาสิ่งใดเทียมได้ เมื่อมีที่นาแล้วก็ตามด้วยการไถคราด หาเมล็ดพันธ์ชั้นดีชนิดให้ผลเกรดเอมาเพาะปลูก และเมื่อบำรุงเลี้ยงจนกลายเป็นต้นกล้าแล้วก็ต้องบำรุงใส่ปุ๋ย ป้องกันแมลงและวัชพืช (ความชั่ว กิเลสมารทั้งหลาย) รดน้ำพรวนดิน(คือการเร่งสร้างความดี สร้างบุญกุศลให้มาก) ที่สุดเก็บเกี่ยวผลผลิต (คือได้รับบุญที่ตนทำมาทำให้มีแต่ความสุขความเจริญทำอะไรก็ประสพผลสำเร็จ) สาธยายมามากมายเหมือนขับรถอ้อมโลกจุดประสงค์ไม่มีอะไรมาก ก็แค่อยากบอกว่า ชีวิตคนก็เหมือนต้นไม้ควรเอาใจใส่ดูแลเป็นอย่างดี ถ้าทอดทิ้งเสียแล้วก็ยากที่จะได้ผลผลิตที่ดีเยี่ยม
จากบรรทัดนี้ไป เรามาช่วยกันปลูกต้นไม้แห่งชีวิตกันดีกว่าเรียกต้นไม้นี้ว่า “ต้นบุญต้นกุศล”ดี หรือเรียกว่า “ต้นไม้แห่งชีวิต” ดี เอาไว้ตอนจบค่อยมาคิดอีกทีจะดีไหม ใครจะตั้งชื่ออะไรตามที่ตนเองรู้สึกว่าใช่ตามใจปรารถนา ชีวิตคนหนึ่งคนสะสมบุญบาปมานับชาติไม่ถ้วนเป็นแสนกัปกัลป์ พอมาถึงชาตินี้หวังจะเปลี่ยนชีวิตให้ดีดังพลิกฝ่ามือกันในชาติเดียวคงเป็นไปไม่ได้ ลองเปรียบเทียบกับเสื้อผ้าสีขาว หรือผ้าขาว ทำไมคนถือศีลจึงต้องนุ่งห่มผ้าขาว นั่นก็เป็นปริศนาธรรม ทำไมไม่ใส่สีอื่นซึ่งดูแลรักษาง่ายกว่าตั้งเยอะ เข้าไปรักษาศีลที่วัดนอนกับดินกินกับทราย ยืน เดิน นั่ง นอนล้วนติดดินทั้งสิ้น เปรอะเปื้อนง่ายแต่ก็สามารถรักษาให้สะอาดได้ดี ทั้งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ นั่นเพราะผู้ถือศีลมีการสำรวมระวังเป็นพิเศษในอิริยาบถทั้งสี่ โดยเฉพาะการรักษาใจ จะคิด พูด อ่าน เขียน ล้วนต้องเป็นบุญไม่ให้เกิดเป็นโทษเป็นบาป เพราะนั่นถึงท่านจะใส่เสื้อผ้าสีขาวตลอดชีวิต ท่านก็ยังเป็นคนบาปอยู่ดีหากท่านไม่คิดหรือทำในสิ่งที่ดี มัวแต่คิดจะเบียดเบียนผู้อื่นไม่เว้นแต่ละวัน เหมือนหาไฟนรกมาใส่ไว้ในอกในใจ ซึ่งคนประเภทนี้มีอยู่ไม่น้อย เป็นเหลือบในพระศาสนาเป็นอย่างยิ่ง เคยได้ยินคำพังเพยที่ว่า “นกกระยางขาวปลอดตลอดตัวก็ยังกินปลา” หรือไม่ หากเคยได้ยินคงซาบซึ้งถึงข้อธรรมอันนี้ได้เป็นอย่างดีทีเดียว คนจะขาวสะอาด หรือเป็นผู้ดีไม่ใช่ที่ใบหน้าหรือฐานะทางสังคม มันต้องเกิดมาจากภายในจิตใจที่ได้สั่งสมอบรมมาแล้วตั้งแต่อดีตชาติจนชาติปัจจุบัน คำว่าสันดาน ไม่ใช่คำหยาบคายแต่เป็นคำโบราณ ที่หมายถึงนิสัยที่สั่งสมมานาน จนกลายเป็นสันดาน และอีกคำคือ คำว่าวาสนา นั้นก็มิได้แปลว่า การมีวาสนาเหนือคนอื่นอย่างที่เข้าใจกันทั่วไป ความจริงคำว่าวาสนาหมายถึง การที่เราสั่งสมอุปนิสัยความเคยชินทั้งดีทั้งชั่วมานับชาติไม่ถ้วน แล้วกลั่นออกมาเป็นวาสนาในปัจจุบันชาติ เช่นบางท่านหน้าตาดีสวยสดงดงาม แต่มารยาทแสนทราม นั่นก็เพราะสะสมความหยาบกระด้างแห่งกมลสันดานไว้อย่างหนาแน่น เกิดมากี่ชาติถ้าไม่แก้ไขนิสัยใหม่แล้วยากเต็มทีที่จะรักษาให้หายได้คงติดตัวไปจนกาลนาน การแก้นิสัยตั้งแต่บัดนี้ย่อมเป็นการแก้กรรมไปในตัว และที่สุดก็แก้นิสัยอันเป็นเหตุแห่งวาสนาในอนาคต หรือวาสนาที่ดีจะได้เกิดกับท่านในชาติหน้านั้นเอง มานับหนึ่งกันเถิด
ไม่ว่าในปัจจุบันนี้ท่านจะมีอายุเท่าไรก็ตามมาเกิดใหม่กันเถอะยังทัน ทุกอย่างต้องมีการปรับปรุงแก้ไข และมีกฎเกณฑ์ระเบียบข้อบังคับ หากไม่มีกฎระเบียบเสียแล้วย่อมเละเทะ หาความเจริญก้าวหน้าได้ยาก เพราะอยู่อย่างไร้ระเบียบ
ทำไปทำมาพากันจัดทัวร์นรกกันอย่างรื่นเริง นรกมันถึงล้นด้วยวิญญาณคนชั่วไง นรกแตก ผีนรกเลยหลุดมาอยู่บนโลกทั่วทุกหัวระแหงอย่างทุกวันนี้ พาเอาคนดีหนีเข้าป่ากันไปหมดคนชั่วเลยครองเมือง
กำหนดใจเป็นสิ่งแรก นั่นคือ เริ่มคิดว่าใจเราดี ทำแต่สิ่งดีๆ และจะพูดก้อพูดแต่สิ่งที่ดี มีความเมตตาต่อตนเองและผู้อื่น ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่นอีกด้วย คงเคยได้ยินคำว่า ใจเป็นนายกายเป็นบ่าว กันมาบ้างแล้ว นั่นเป็นสัจจะจริง หรือ บางท่านก็คงเคยได้ยินคำว่า ทุกอย่างสำเร็จได้ที่ใจ หากใจยังสู้ทุกอย่างย่อมไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ในประวัติศาสตร์ หลายครั้งที่ความพินาศการเสียเอกราชเกิดขึ้นจากความแตกสามัคคีของคนในชาติเป็นสาเหตุสำคัญ แตกความสามัคคีเพราะใจมันแตกมันไม่รวมเป็นใจเดียวกัน ต่างคนต่างคิดต่างคนต่างทำ ต่างคนต่างแข่งแย่งบุญวาสนา ไม่โอบอุ้มไม่เมตตาต่อกัน ล้วนอยากเป็นใหญ่ไม่มีใครยอมเป็นเล็ก นั่นแหละหนทางแห่งความพินาศ บ้านเมืองพังวอดวายเสียเอกราชก็เพราะใจที่หยาบช้าไม่รู่จักเสียสละไม่รู้จักการให้ มันมีแต่อยาก อยากได้ อยากมี อยากเป็น ไม่รู้จักพอ เลยกอบโกยเอาความชั่วใส่ตัว เห็นผิดเป็นชอบอยู่เสมอเป็นปกติ สะสมวาสนาชั่ว เป็นนิสัยใหม่ในชาติต่อไป กลายเป็นอาชญากรสังคมคนสำคัญบ้าง ไม่สำคัญบ้าง ตามวาสนาชั่วที่สะสมมา บางคนสะสมความมีจิตดี ใจดี ใจบุญ ใจมีเมตตาไม่กล้าทำความชั่ว ไม่กล้าแม้แต่จะคิดชั่ว เมื่อไม่คิดเสียแล้ว ใจก็ไม่สั่งให้กายทำชั่ว วาจาก็ไม่ชั่ว รวมแล้ว สะสมวาสนาบารมีแต่ดีๆไว้ ชาติหน้าวาสนาดีเป็นคนวาสนาดีไปทุกสิ่งอย่าง ทำอะไรก็มีแต่ความสำเร็จก้าวหน้า เข้าหลักธรรมที่ว่า ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว เป็นคำที่ได้ยินมาเนิ่นนานประมาณกาลไม่ได้ แต่คำนี้เป็นคำอมตะใช้ได้ทุกยุคทุกสมัย
สรุป แทนที่เราจะมานั่งบ่นว่าเมื่อไรชีวิตถึงจะดีขึ้น หรือเที่ยวบนบานศาลกล่าวรอฟ้าบันดาล สู้เรามาเปลี่ยนวิถีชีวิตด้วยสองมือกับหนึ่งสมองของเราเองจะดีกว่า ที่ว่าตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน พระพุทธเจ้าไม่เคยตรัสสอนให้ใครหวังพึ่งลมๆ แล้งๆ แต่ที่เราได้ยินเสมอคือให้พึ่งตนเอง ให้เชื่อในกฎแห่งกรรม กรรมคือการกระทำ การกระทำคือกรรม ใครทำใครได้ไม่สามารถยกให้แก่กัน ดังนั้นถ้าอยากเป็นเศรษฐีก็ต้องขยันและรู้จักใช้จ่าย รู้จักการเรียนรู้ในโลกแห่งธุรกิจ รู้จักหาโอกาสที่จะทำกำไร หูตากว้างไกล หรือบางคนชอบความสงบ อยากเป็นผู้รู้แตกฉานในวิชาธรรมก็ต้องลงมือปฏิบัติธรรม ไม่ใช่เก่งแต่ทฤษฎี และเก่งวิพากษ์วิจารณ์ คอยจ้องจับผิดในธรรมของคนอื่น แทนที่จะจับที่ใจของตนเองตามดูจิตให้ทันว่า ขณะนี้จิตติดดี(อาการฟู) หรือ จิตติดชั่ว(อาการแฟบ) หรือจิตเฉย(ไม่ฟูไม่แฟบ) มองหาข้อบกพร่องของตนเองว่ายังอ่อนในธรรมข้อไหน ควรเร่งพัฒนาปฏิบัติธรรมข้อไหนให้ก้าวหน้า เร่งหาทางหลุดพ้น ไม่ใช่มองหาแต่พระนิพพานในฝันส่วนชีวิตจริงทำตนวิ่งหาขุมนรก เคยเห็นบางคนเข้าวัดไปปฏิบัติธรรม แต่ยังไปนินทาเรื่องของชาวบ้าน เรื่องของลูกเขย-ลูกสะใภ้ ไปรดน้ำมนต์สะเดาะเคราะห์ ไปหาหวยกับพระอาจารย์ดัง ไม่เคยเคารพในธรรมที่ว่า ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว หนักไปกว่านั้น บางคนหลงรูปพระรูปชี ไม่เห็นหน้ากินข้าวไม่ลง นอนไม่หลับก็มี พาให้ศาสนาเสื่อมก็เพราะไอ้พวกจัญไรทั้งหลายเหล่านี้แหละ
ความดี วาสนาดี ชะตาชีวิตดี ล้วนเกิดขึ้นได้ด้วยตัวเรา มีแต่เราเท่านั้นที่เป็นผู้สร้างประวัติศาสตร์ มีแต่คนเท่านั้นที่สร้างประวัติศาสตร์ ทั้งของตนเองและของผู้อื่น สัตว์อื่นสร้างประวัติศาสตร์ไม่ได้ เพราะสัตว์เดรัจฉานไม่มีภาษา สื่อสารเป็นอักษรไม่ได้ แม้แต่ในนรกยังมีประวัติศาสตร์ให้ได้ศึกษาเลย นั่นก็คือบัญชีบุญ-บาปของแต่ละคนมันคือประวัติศาสตร์ที่ท่านเขียนไว้เองทั้งสิ้น ส่วนเทวดาเป็นเพียงผู้อ่านให้ท่านฟังก็เท่านั้น
หวังว่าตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปท่านคงเป็นบุคคลอีกผู้หนึ่งที่เขียนประวัติศาสตร์อันมีค่าไว้ให้อนุชนรุ่นหลังได้ศึกษาต่อไป อยากเห็นท่านมีวาสนาดีด้วยกันทุกคน ขอธรรมจงรักษาท่านไปทุกชาติตลอดจนก้าวเข้าสู่พระนิพพานเทอญ


เกษแก้ว ศรัทธาโพธิธรรม

เสบียงธรรมนำชีวิต

เสบียงธรรมนำชีวิต


พระโอวาทแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทรงกรุณาตรัสสอนไว้ให้พุทธบริษัทได้พึงปฏิบัติตาม
สัพพะปาปัสสะ อะกะระณัง, การไม่ทำบาปทั้งปวง,
กุสะลัสสูปะสัมปะทา, การทำกุศลให้ถึงพร้อม,
สะจิตตะปะริโยทะปะนัง, การชำระจิตของตนให้ขาวรอบ,
เอตัง พุทธานะสาสะนัง, ธรรม ๓ อย่างนี้,เป็นคำสั่งสอน
ของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย,
การไม่พูดร้าย,การไม่ทำร้าย, การสำรวมในปาฏิโมกข์, ความเป็นผู้รู้ประมาณในการบริโภค, การนอน การนั่ง ในที่อันสงัด, ความหมั่นประกอบในการทำจิตให้ยิ่ง, ธรรม ๖ อย่างนี้, เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย.
“เสบียงธรรม” จุดมุ่งหมายที่จะพูดในความหมายของเสบียงธรรม คือ เป็นการกระตุ้นเตือนให้ผู้ที่มั่นใจว่า อย่างไรซะเราก็ต้องกลับมาเกิดอีกแน่นอนแต่จะเกิดเป็นอะไรนี่สำคัญกว่า ตามหลักพระพุทธศาสนากล่าวว่า คนเราสามารถกำหนดได้ว่าจะไปเกิดเป็นอะไรก่อนที่ตนเองจะตาย กำหนดช้าสุดก็ตอนลมหายสุดท้าย หรือถ้าคนใดรู้เท่าทันกรรม ก้อกำหนดทุกลมหายใจรู้ตัวทั่วพร้อมอยู่เสมอ เชื่อในพระธรรมที่ว่า “บาปมีจริง บุญมีจริง ทุกอย่างถูกกำหนดด้วยกรรม” คนฉลาดย่อมสามารถกำหนดชาติใหม่กันตั้งแต่ยังไม่ตาย รีบเก็บเกี่ยวคุณงามความดี สั่งสมบุญบารมีอันขาวรอบเพื่อเป็นเสบียงไปไว้ใช้ในลมหายใจหน้า ที่สุดคือชาติหน้าหรือจนกว่าจะสู่แดนอมตะคือแดนนิพพาน
เสบียงธรรม คือ เสบียงบุญ เสบียงที่ใช้เลี้ยงชีวิต จะยากดีมีจนก็อยู่ตรงนี้แหละว่าใครพกบุญมามากกว่ากัน คนไหนขนเอาบาปติดตัวมามากชีวิตก็ทุกข์ทนทุรนทุรายมาก จะตายก็ไม่ได้ต้องทนทุกข์ไปจนกว่าจะสาสม ส่วนคนไหนนำบุญติดตัวมามากชีวิตก็ดูวิจิตรบรรจง ขนาดถ้วยชามช้อนส้อมยังตกแต่งด้วยลายทองก็มากมี มันเป็นเรื่องที่น่าทึ่งแต่เป็นเรื่องจริง นั่นสิแล้วเราๆท่านๆ จะมัวปล่อยให้ชีวิตล่องลอยไปวันๆ อย่างเรือไม่มีหางเสือกันอย่างนั้นหรือ ไม่อยากลำบากอีกต่อไป ไม่อยากกลับมาเวียนว่ายตายเกิดในสิ่งที่น่าเบื่อที่สุดอีกต่อไป ก้อคงต้องมาศึกษาหาวิธี เตรียมเสบียงไว้ยังชีพเป็นประเด็นแรก ก่อนออกเดินทางสู่หนทางแห่งมรรค ก้าวล่วงพ้นจากกรรม
มนุษย์แบ่งออกเป็น ๔ เหล่า คือ
๑. มืดมามืดไป ๒. มืดมาสว่างไป
๓. สว่างมามืดไป ๔. สว่างมาสว่างไป
ตามที่บางท่านอาจเคยได้ยินข้อธรรมเหล่านี้มาบ้างแล้ว แต่เคยสำรวจตนเองบ้างหรือไม่ว่า ตนนั้นเข้าข่ายในข้อไหนถ้าเป็น ข้อหนึ่ง ผู้ที่มืดมาแล้วมืดไป ได้แก่ บุคคลที่เกิดมามีแต่ความขัดสนจนยาก เกิดในตระกูลต่ำ ทั้งยังมีโรคภัยเบียดเบียน นิสัยใจคอเป็นคนตระหนี่ กาย วาจา ใจยังหยาบกระด้าง ทำแต่ความชั่วมิได้มีความละอายใจแต่อย่างใด เมื่อตายเห็นทีน่าใจหายน่าสงสารเพราะอเวจีนรกเป็นที่หมายแน่นอนมาจากนรกก็กลับไปนรกช่างน่าเศร้าจริง
ข้อสอง ผู้ที่มืดมาสว่างไป หมายถึง ผู้ที่เกิดมาในตระกูลต่ำแต่มีใจศรัทธาในการทำความดี นับถือพระพุทธศาสนาละเว้นความชั่วกลัวอบาย ก็ค่อยยังชั่วหน่อยควรแสดงความยินดีด้วยที่ชีวิตมีการพัฒนาบ้างที่ได้รู้วิธีพัฒนาจิตวิญญาณให้ดีขึ้นพ้นจากอเวจีขึ้นมาได้ตายไปสู่สุคติโลกสวรรค์เป็นที่หมาย
ข้อสาม ผู้ที่สว่างมามืดไป นี่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง ที่บุญเก่าหนุนส่งให้เกิดมาในตระกูลดี มีฐานะ มีความพร้อมทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินเงินทอง ข้าทาสบริวาร แต่กลับไม่เห็นคุณค่าในสิ่งที่ตนมี กลับนิยมสร้างแต่กรรมชั่วไม่เกรงกลัวต่อบาปบุญคุณโทษใดๆ อุตส่าห์สั่งสมเสบียงบุญมาดีกลับประมาทพลาดท่าให้กับมารพากลับลงไปท่องนรกกันอีก
ข้อที่สี่ ผู้ที่สว่างมาแล้วสว่างไป เป็นบุคคลที่มาดีไปดีแบบสมบูรณ์แบบ็็้็น มาอย่างสะอาดกลับไปยิ่งสะอาดใหญ่เรียกว่ากินใช้อย่างไรก็ไม่หมด คือ ผู้ที่เกิดมาในตระกูลดี พรั่งพร้อมด้วย รูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ ปัญญาสมบัติ อีกทั้งยังชอบสร้างบุญสร้างกุศล รักษาศีล ประพฤติธรรมเป็นนิจ ดังนั้นเมื่อตายแล้วจะได้ไปจุติในสุคติสวรรค์แน่นอน
ที่พูดทั้งหมดนี้มิใช่อะไรเป็นเรื่องของผู้ที่มีวาสนาสั่งสมบารมีอย่างชาญฉลาด หรือว่าโง่กับการใช้ชีวิตแบบให้ผ่านไปวันๆ อย่างไร้คุณค่า น่าเสียดายจริงๆ
ก่อนที่จะรู้วิธีเตรียมเสบียงบุญเราควรจะมารู้จักตนเองก่อนว่าเราเป็นคนเช่นไร
ประการแรกลดทิฐิมานะ ตัวทิฐิเป็นตัวโง่ที่ใส่เสื้อทอง เป็นสิ่งที่มนุษย์หรือคนชอบหามาเลี้ยงไว้ในขันธสันดาน โดยไม่รู้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนแก้ไขได้ยาก เพราะคนเหล่านี้มักเป็นพวกสุดโต่ง เช่น
เก่งมาก ทำอะไรก็สำเร็จ จึงรู้สึกว่าไม่ต้องมีใครมาเตือน อย่ามาสอน อย่ามาแนะนำ เพราะเขารู้ทุกอย่าง คนอื่นรู้น้อยกว่าตน(บางทีมีการลองภูมิกันด้วยซ้ำไป) อีกพวกโง่แล้วอวดฉลาดเพราะชอบอวดอ้าง ยกตนข่มท่าน พยายามแสดงว่าตนเองเป็นเลิศไปเสียทุกสิ่งแต่ไม่รู้จริงสักอย่าง อีกพวกคือโง่จริงๆไม่รู้ว่าตัวเองโง่และยังภูมิใจที่จะโง่ต่อไป พวกนี้โบราณว่าถ้าอยู่ในกองทัพให้ฆ่าทิ้งเสีย ที่กล่าวมาเป็นเพียงอุปมาอุปมัย จุดมุ่งหมายที่แท้จริงเพียงต้องการชี้ให้เห็นว่า ดวงจิตของคนเรามีอะไรแอบซ่อนอยู่ ควรสอดส่องให้รู้แจ้งแล้วรีบแก้ไขข้อเสียนั้นด่วน ดวงจิตจะได้ส่องประกายความสว่างไสวพร้อมรับผลแห่งบุญกุศล แก้และลดวิบากกรรมได้ บางท่านทำบุญอย่างไรก็ไม่เห็นบุญ เพราะติดตัวโง่นั่นเอง
วิธีแก้ไช
๑. ลดทิฐิมานะในตัว จุดแรกเราต้องทำใจกว้างๆ ก่อนว่า เรายินยอมให้แสงธรรมเข้ามาสาดส่องดวงจิตของเรา จิตของเราต้องการแสงสว่างให้เข้ามาขจัดความมืดบอด และพร้อมกันนั้นก็ต้องการผู้ชี้ทางออกให้ พร้อมที่จะปฎิบัติธรรมเพื่อมีชีวิตที่สงบเย็นเป็นสุขอันเกษมอย่างแท้จริง จิตดวงนี้ยอมน้อมลงเพื่อที่จะหยุดแรงกรรมกำจัดความมืดแห่งทิฐิตัวโง่นั้น ยอมที่จะอ่อนน้อมและตั้งศรัทธามั่นในพระธรรมคำสอนของสมเด็จพระภควันพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างไม่ติดสงสัย และต้องยอมให้ถูกขัดเกลากิเลสเพื่อให้เกิดมิติใหม่แห่งการดำเนินชีวิต เมื่อทั้งหมดพร้อมแล้วก็เริ่มดำเนินการปฎิบัติธรรมกันต่อไป
๒. ยอมรับเรื่องของกิเลส ที่อยู่ในจิตของเราว่าเรามีกิเลสหนาอยู่ อยากจะขัดเกลากิเลสเหลือเกิน หากไม่อยากก็ยากที่จะขัดเกลา เพราะเรายังรักกิเลสอยู่ ยังเสียดายกิเลสอยู่ เมื่อยังรักยังเสียดายก็ยากแก่การขัดเกลาให้เบาบางหรือหายไปได้ แต่ถ้าเราเบื่อมันแล้วเพราะมันเป็นของร้อนอยากพบกับความเย็นบ้าง มันเป็นของทำให้เราดิ้นรนไปไม่หยุดสักทีเหนื่อยเหลือเกินแล้ว ก็ต้องดับกิเลสตัวไฟ ตัณหาราคะ ตัวอุปปาทานให้หมดไป ลองถามตัวเองสักทีว่าเหนื่อยพอหรือยัง
๓. จิตใจอ่อนโยน จิตมันกระด้างมานาน หยาบคายมานาน ความกระด้างกระเดื่องในธรรมมานาน รู้สึกได้ว่าตนเอง เป็นคนเถื่อน ไม่อยากบ้าใบ จิตใจกระด้าง ไม่อยากเป็นคนเถื่อนก็เริ่มเข้าหาธรรมะ เพราะธรรมะเป็นสิ่งที่ทำให้คนเป็นคนว่าง่าย เป็นคนอ่อนโยน เป็นคนมีจิตใจดี มีการกระทำดี และที่สำคัญเป็นคนเสียสละ และพร้อมให้ความรักต่อสรรพสัตว์ทั้งหลายทั่วโลกทั่วจักรวาลไม่เลือกชั้นวรรณะ ไม่แบ่งเขาแบ่งเรา ทุกคนเสมอกันทุกคนเป็นมิตรต่อกันสังคมมันก็สงบสุข โลกและจักรวาลก็สงบสุข เมื่อทุกอย่างสงบสุข ก็ไม่ต้องมีการรบราฆ่าฟัน ไม่ต้องทำร้ายซึ่งกันและกัน ไม่มีศัตรู ไม่มีเวรมีกรรมต่อกัน อะไรมันจะดีไปกว่านี้
เตรียมเสบียงไปเลี้ยงจิต การเดินตามรอยพระบาทแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เดินตามรอยเท้าพ่อ-แม่ ครูบาอาจารย์ ไปในทิศทางอันเจริญไม่ตกไปสู่ทางเสื่อมทราม ไม่ให้ตนเป็นคนไร้ศีลขาดธรรมจนกลายเป็นผู้เกิดมาตายเปล่าไร้ประโยชน์ (ประโยชน์ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงผลตอบแทนทางโลก) เรียกว่า “วิธีขจัดตัวโง่ออกไปเอาตัวปัญญาเข้ามาเป็นเจ้าเรือนแทน” อ่านมาถึงตรงนี้คงอยากทราบรายละเอียดแบบหยั่งลึก ชนิดถอนรากถอนโคนเจ้าต้นทิฐิมานะกันแล้วกระมัง ถ้าเช่นนั้นเรามากำจัดเจ้าต้นวัชพืชชีวิตพร้อมๆ กันดีกว่า คำว่า เสบียง หมายถึง สัมภาระที่จัดเตรียมในการเดินทาง เช่น อาหาร เสื้อผ้า ยารักษาโรค น้ำดื่มเป็นต้น และคำว่าเสบียงก็ยังหมายถึงของจำเป็นเท่านั้นสิ่งใดไม่จำเป็นก็ไม่ควรนำไป เพราะจะเกิดเป็นภาระให้ลำบากเปล่าๆพระธุดงค์หรือผู้ที่นิยมการเดินป่าหรือผู้ที่ต้องเดินทางเป็นประจำ ย่อมรู้จักคำว่าเสบียงได้ดี และสามารถจัดเสบียงได้ดีด้วย เพราะรู้และเข้าใจว่าสิ่งใดควรนำติดตัวไปสิ่งใดไม่ควร หากพกสิ่งไม่จำเป็นจริงๆ ติดตัวไปก็ยิ่งเพิ่มน้ำหนักสร้างภาระอันหนักหนาสาหัสให้กับตนในขณะการเดินทางไกลนั้น
เสบียงธรรม ที่ต้องเตรียมในการเดินมีอยู่ ๕ สิ่งที่สำคัญมากห้ามลืมเด็ดขาดคือ
๑. จิตที่อ่อนน้อม แต่ไม่อ่อนแอ
๒. ความศรัทธาที่มั่นคง พกไปให้เต็มกระเป๋า จนไม่สามารถบรรจุอะไรได้อีกแล้ว
๓. ร่างกายและจิตใจที่ตั้งตรง ( รักษาศีลปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง ) ไม่โน้มเอียงไปทางที่ชั่ว
๔. ความพร้อมที่จะเรียนรู้ไม่ทำตนเป็นน้ำที่เต็มแก้ว และคอยสอดส่อง เพิ่มเติมองค์ความรู้ที่
ถูกต้อง แก้ไขสิ่งที่มืดบอดขจัดความโง่และความดื้อด้าน ความสกปรก ที่สะสมในใจมานาน
ให้หมดไป
๕. ยอมถูกขัดเกลาจิตใจเพื่อเดินสู่ทางสายธรรม ต่อไป
ประการที่สองความหลง คนหลงมีมากมายเหลือเกิน หลงชีวิต หลงลาภยศ หลงสรรเสริญ หลงสุข-ทุกข์ หลงตน หลงรัก-ชัง หลงอาฆาตพยาบาท หลงทรัพย์สินเงินทอง หลงลูก-ผัว-เมีย หลงทรัพย์สินเงินทองพัสถานนาๆ และหลงผิด ทั้งหลงดี-หลงชั่ว ความหลงนี้เป็นสิ่งที่ทำให้เสียเวลาเป็นอย่างยิ่ง เหมือนเดินในเขาวงกตเลยทีเดียว กว่าจะออกมาได้บางคนแทบเอาชีวิตไม่รอด แต่ถ้าเดินออกมาจากวังวนนั้นได้ มีหลายคนที่ปฏิญาณตนว่าไม่ขอกลับไปอีกจนวันตาย ถ้าต้องเกิดใหม่ก็ขอให้มีปัญญาขอบุญรักษาให้พ้นจากความหลงทั้งปวงกันเลยทีเดียว เพราะทางมีให้เดินมากหลายทาง แต่ทางเดินใหญ่ๆมีเพียง ๒ ทางเท่านั้นคือ ทางดี กับ ทางชั่ว ซึ่งในหัวข้อทางดี ๑ และทางชั่วอีก ๑ นี้ ในแต่ละทางยังแบ่งแยกย่อยเป็นรากแขนงและรากฝอยไปอีกนับไม่ถ้วน ตามความชอบของแต่ละคน
ถ้าเปรียบชีวิตเป็นเส้นทางแห่งการเดินทางให้เหมือนเส้นทางการเดินรถก็คงไม่ต่างกันเท่าไร คนหนึ่งคนจะเดินทางไปถึงจุดหมายปลายทางได้นั้น ย่อมต้องผ่านอะไรต่อมิอะไรมากมายเข้ามาในชีวิต ทั้งสุขและทุกข์นานา บ้างก็มีเส้นทางเปรียบดั่งโรยด้วยกลีบกุหลาบ บ้างก็ย่ำเดินบนเสี้ยนหนามอันแหลมคมเจ็บปวดทรมานแสนสาหัส แต่สิ่งหนึ่งที่คนจำนวนมากพากันลืมไปอย่างสนิทใจ นั่นคือ แผนที่ชีวิต สิ่งๆนี้เป็นสิ่งที่จำเป็นที่ไม่ควรลืม นอกจากจะต้องใช้แผนที่แล้วยังต้องมี กำลังกาย กำลังใจและพลังแห่งความศรัทธาอันยิ่งใหญ่ เพื่อใช้ในการก้าวเดินไปสู่จุดหมาย นั่นคือ ชีวิตที่สงบเย็นไม่กลับมารุ่มร้อนทุรนทุรายดั่งถูกไฟนรกแผดเผาอย่างทุกข์ทรมานไม่รู้จักจบสิ้น
แผนที่ชีวิต แผนที่ชีวิตนี้ควรศึกษากันให้ดี อ่านให้เป็น ศึกษากันให้ทะลุ เดินให้ถูกทางไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางลัด แต่ที่สำคัญต้องเป็นทางที่ถูกต้อง และถูกควร ผู้บัญญัติแผนที่ชีวิตไว้ให้เราได้ศึกษาและเดินตามนั่นคือ องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าพระพุทธเจ้านั่นเอง ท่านได้เดินนำทางพวกเราไปก่อนแล้ว ท่านได้ทรงตรัสไว้ว่า
“เส้นทางธรรมนี้ทุกคนต้องเดินเอง ปฎิบัติเอง รู้เองเห็นเอง เราเป็นเพียงผู้บอกทางเท่านั้น” ท่านไม่สามารถที่จะทำแทนใครได้ ทุกอย่างเป็นปัจจัตตังอีกทั้งยังแบ่งมนุษย์ออกเป็น ๔ เหล่าเปรียบคล้ายดอกบัว ๔ เหล่าตามที่เราท่านทั้งหลายเคยศึกษา ได่ยินได้ฟังมานั่นเอง ถ้าเรากลับมาย้อนคิดว่า พระองค์ท่าน กำลังตรัสชี้แนะอะไรให้กับเรา ท่านให้ความรักความเมตตา กรุณาปราณีกับสัตว์โลกทุกหมู่เหล่าจริงๆ แต่สัตว์โลกทั้งหลายเหล่านั้นจะรับความเมตตาจากท่านได้ไม่เท่ากันตามแต่เหตุแห่งบุญกรรมของแต่ละดวงจิตดวงวิญญาณ แรงกรรมเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยากและมีความเที่ยงธรรมที่สุด
เมื่อรู้เช่นนี้แล้วเราก็ควรเป็นผู้ฉลาดที่เลือกกระทำในสิ่งที่ดีเป็นประโยชน์ เหมือนการเลือกกินอาหารควรเลือกกินแต่สิ่งที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเท่านั้น สิ่งที่เป็นพิษเราก็ไม่กินร่างกายก็แข็งแรงไม่มีโรคภัยเข้ามาเบียดเบียนมันก็เท่านั้น แต่ในการปฏิบัติธรรมมันละเอียดกว่านั้น มันพิถีพิถันกว่านั้นมันต้องตั้งใจอย่างมาก ไม่ใช่สักแต่ว่าทำไป ทำไปทำไมก็ไม่รู้อย่างนี้ก็ใช้ไม่ได้ เช่นเดียวกันการสร้างกรรมคือการกระทำที่เป็นประโยชน์กับตนเอง ถ้ายังโง่อยู่ก็คงตั้งใจสร้างแต่กรรมชั่วการกระทำที่ชั่วต่อไปก็เข้าสู่นรกอเวจีนั้นเอง
การที่คนเรายังยึดโน่นนี่อยู่ ยังมีตัวกูอยู่ ยังมีของกูอยู่ เห็นทีจะแย่ ดัง บทภารสุตตคาถา
ภารา หะเว ปัญจักขันธา, ขันธ์ทั้ง ๕ เป็นของหนักเน้อ,
ภาระหาโร จะ ปุคคะโล, บุคคลแหละ เป็นผู้แบกของหนักพาไป,
ภาราทานัง ทุกขัง โลเก, การแบกของหนักเป็นความทุกข์ในโลก, เป็นต้น
อ่านมาถึงตรงนี้บางท่านเริ่มเกิดปัญญาเริ่มรู้แล้วว่าเราแบกภาระไว้อย่างหนักเป็นทุกข์มาก แต่ถึงกระนั้น บางสิ่งก็ยังเป็นของที่ต้องรับไว้เป็นภาระต่อไป มิใช่ว่าจะตัดได้ทีเดียว คงจะต้องสั่งสมบารมีธรรมค่อยเป็นค่อยไป ค่อยๆแก้ไข การไม่ยึดมั่นถือมั่นในเบญจขันธ์ฟังดูเหมือนง่ายแต่ไม่ง่าย ฟังดูยากแต่มันไม่ยากมันอยู่ที่เรา ตัวเราเท่านั้นที่พร้อมที่จะเข้าใจและสละตัวกู คำว่าตัวกูแค่คิดก็มากมายหลายอย่าง เช่น ลูกกู ผัวกู เมียกู สมบัติกู ลาภยศสรรเสริญก็ของกู พอเสียของกูไป ก็เสียใจว่าของกูเสียไป เพราะตามสติไม่ทัน ว่าโลกนี้เป็นของคู่กัน ๔ คู่ นั้นคือโลกธรรม ๘ มีได้มาสุดท้ายก็ต้องเสียไป มีรักย่อมมีชัง มีได้ลาภยศ ย่อมเสื่อมลาภเสื่อมยศ มีสรรเสริญย่อมมีนินทา เป็นต้น เมื่อมีสติย่อมไม่มีตัวกูไม่มีของกู แต่ถ้าตามสติไม่ทันย่อมเป็นทุกข์เพราะทุกอย่างเป็นของกูทั้งนั้นยึดไว้แน่นมากเท่าไรก็ทุกข์มากเท่านั้น
พระพุทธองค์ตรัสว่า
วาจาสุภาษิต ย่อมไม่มีผลแก่ผู้ไม่ทำตาม
เหมือนดอกไม้งามแต่ไม่มีกลิ่น
วาจาสุภาษิต ย่อมมีผลแก่ผู้ทำตามด้วยดี
เหมือนดอกไม้งามมีทั้งสีและมีกลิ่น ฉะนั้น
สรุป ท่านต้องการเป็นดอกไม้ที่สวยแต่รูป หรือสวยทั้งรูปและหอมทั้งกลิ่นเหมาะแก่การนำไปบูชาพระรัตนะตรัยก็เชิญเลือกกันตามแต่บุญบารมีเทอญ.
เกษแก้ว ศรัทธาโพธิธรรม

เสบียงธรรมนำชีวิต

เสบียงธรรมนำชีวิต

พระโอวาทแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทรงกรุณาตรัสสอนไว้ให้พุทธบริษัทได้พึงปฏิบัติตาม
สัพพะปาปัสสะ อะกะระณัง, การไม่ทำบาปทั้งปวง,
กุสะลัสสูปะสัมปะทา, การทำกุศลให้ถึงพร้อม,
สะจิตตะปะริโยทะปะนัง, การชำระจิตของตนให้ขาวรอบ,
เอตัง พุทธานะสาสะนัง, ธรรม ๓ อย่างนี้,เป็นคำสั่งสอน
ของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย,
การไม่พูดร้าย,การไม่ทำร้าย, การสำรวมในปาฏิโมกข์, ความเป็นผู้รู้ประมาณในการบริโภค, การนอน การนั่ง ในที่อันสงัด, ความหมั่นประกอบในการทำจิตให้ยิ่ง, ธรรม ๖ อย่างนี้, เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย.

“เสบียงธรรม” จุดมุ่งหมายที่จะพูดในความหมายของเสบียงธรรม คือ เป็นการกระตุ้นเตือนให้ผู้ที่มั่นใจว่า อย่างไรซะเราก็ต้องกลับมาเกิดอีกแน่นอนแต่จะเกิดเป็นอะไรนี่สำคัญกว่า ตามหลักพระพุทธศาสนากล่าวว่า คนเราสามารถกำหนดได้ว่าจะไปเกิดเป็นอะไรก่อนที่ตนเองจะตาย กำหนดช้าสุดก็ตอนลมหายสุดท้าย หรือถ้าคนใดรู้เท่าทันกรรม ก้อกำหนดทุกลมหายใจรู้ตัวทั่วพร้อมอยู่เสมอ เชื่อในพระธรรมที่ว่า “บาปมีจริง บุญมีจริง ทุกอย่างถูกกำหนดด้วยกรรม” คนฉลาดย่อมสามารถกำหนดชาติใหม่กันตั้งแต่ยังไม่ตาย รีบเก็บเกี่ยวคุณงามความดี สั่งสมบุญบารมีอันขาวรอบเพื่อเป็นเสบียงไปไว้ใช้ในลมหายใจหน้า ที่สุดคือชาติหน้าหรือจนกว่าจะสู่แดนอมตะคือแดนนิพพาน
เสบียงธรรม คือ เสบียงบุญ เสบียงที่ใช้เลี้ยงชีวิต จะยากดีมีจนก็อยู่ตรงนี้แหละว่าใครพกบุญมามากกว่ากัน คนไหนขนเอาบาปติดตัวมามากชีวิตก็ทุกข์ทนทุรนทุรายมาก จะตายก็ไม่ได้ต้องทนทุกข์ไปจนกว่าจะสาสม ส่วนคนไหนนำบุญติดตัวมามากชีวิตก็ดูวิจิตรบรรจง ขนาดถ้วยชามช้อนส้อมยังตกแต่งด้วยลายทองก็มากมี มันเป็นเรื่องที่น่าทึ่งแต่เป็นเรื่องจริง นั่นสิแล้วเราๆท่านๆ จะมัวปล่อยให้ชีวิตล่องลอยไปวันๆ อย่างเรือไม่มีหางเสือกันอย่างนั้นหรือ ไม่อยากลำบากอีกต่อไป ไม่อยากกลับมาเวียนว่ายตายเกิดในสิ่งที่น่าเบื่อที่สุดอีกต่อไป ก้อคงต้องมาศึกษาหาวิธี เตรียมเสบียงไว้ยังชีพเป็นประเด็นแรก ก่อนออกเดินทางสู่หนทางแห่งมรรค ก้าวล่วงพ้นจากกรรม
มนุษย์แบ่งออกเป็น ๔ เหล่า คือ
๑. มืดมามืดไป ๒. มืดมาสว่างไป
๓. สว่างมามืด ๔. สว่างมาสว่างไป
ตามที่บางท่านอาจเคยได้ยินข้อธรรมเหล่านี้มาบ้างแล้ว แต่เคยสำรวจตนเองบ้างหรือไม่ว่า ตนนั้นเข้าข่ายในข้อไหนถ้าเป็น
ข้อหนึ่ง ผู้ที่มืดมาแล้วมืดไป ได้แก่ บุคคลที่เกิดมามีแต่ความขัดสนจนยาก เกิดในตระกูลต่ำ ทั้งยังมีโรคภัยเบียดเบียน นิสัยใจคอเป็นคนตระหนี่ กาย วาจา ใจยังหยาบกระด้าง ทำแต่ความชั่วมิได้มีความละอายใจแต่อย่างใด เมื่อตายเห็นทีน่าใจหายน่าสงสารเพราะอเวจีนรกเป็นที่หมายแน่นอนมาจากนรกก็กลับไปนรกช่างน่าเศร้าจริง
ข้อสอง ผู้ที่มืดมาสว่างไป หมายถึง ผู้ที่เกิดมาในตระกูลต่ำแต่มีใจศรัทธาในการทำความดี นับถือพระพุทธศาสนาละเว้นความชั่วกลัวอบาย ก็ค่อยยังชั่วหน่อยควรแสดงความยินดีด้วยที่ชีวิตมีการพัฒนาบ้างที่ได้รู้วิธีพัฒนาจิตวิญญาณให้ดีขึ้นพ้นจากอเวจีขึ้นมาได้ตายไปสู่สุคติโลกสวรรค์เป็นที่หมาย
ข้อสาม ผู้ที่สว่างมามืดไป นี่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง ที่บุญเก่าหนุนส่งให้เกิดมาในตระกูลดี มีฐานะ มีความพร้อมทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินเงินทอง ข้าทาสบริวาร แต่กลับไม่เห็นคุณค่าในสิ่งที่ตนมี กลับนิยมสร้างแต่กรรมชั่วไม่เกรงกลัวต่อบาปบุญคุณโทษใดๆ อุตส่าห์สั่งสมเสบียงบุญมาดีกลับประมาทพลาดท่าให้กับมารพากลับลงไปท่องนรกกันอีก
ข้อที่สี่ ผู้ที่สว่างมาแล้วสว่างไป เป็นบุคคลที่มาดีไปดีแบบสมบูรณ์แบบ็็้็น มาอย่างสะอาดกลับไปยิ่งสะอาดใหญ่เรียกว่ากินใช้อย่างไรก็ไม่หมด คือ ผู้ที่เกิดมาในตระกูลดี พรั่งพร้อมด้วย รูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ ปัญญาสมบัติ อีกทั้งยังชอบสร้างบุญสร้างกุศล รักษาศีล ประพฤติธรรมเป็นนิจ ดังนั้นเมื่อตายแล้วจะได้ไปจุติในสุคติสวรรค์แน่นอน ที่พูดทั้งหมดนี้มิใช่อะไรเป็นเรื่องของผู้ที่มีวาสนาสั่งสมบารมีอย่างชาญฉลาด หรือว่าโง่กับการใช้ชีวิตแบบให้ผ่านไปวันๆ อย่างไร้คุณค่า น่าเสียดายจริงๆ
ก่อนที่จะรู้วิธีเตรียมเสบียงบุญเราควรจะมารู้จักตนเองก่อนว่าเราเป็นคนเช่นไร

ประการแรกลดทิฐิมานะ ตัวทิฐิเป็นตัวโง่ที่ใส่เสื้อทอง เป็นสิ่งที่มนุษย์หรือคนชอบหามาเลี้ยงไว้ในขันธสันดาน โดยไม่รู้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนแก้ไขได้ยาก เพราะคนเหล่านี้มักเป็นพวกสุดโต่ง เช่น เก่งมาก ทำอะไรก็สำเร็จ จึงรู้สึกว่าไม่ต้องมีใครมาเตือน อย่ามาสอน อย่ามาแนะนำ เพราะเขารู้ทุกอย่าง คนอื่นรู้น้อยกว่าตน(บางทีมีการลองภูมิกันด้วยซ้ำไป) อีกพวกโง่แล้วอวดฉลาดเพราะชอบอวดอ้าง ยกตนข่มท่าน พยายามแสดงว่าตนเองเป็นเลิศไปเสียทุกสิ่งแต่ไม่รู้จริงสักอย่าง อีกพวกคือโง่จริงๆไม่รู้ว่าตัวเองโง่และยังภูมิใจที่จะโง่ต่อไป พวกนี้โบราณว่าถ้าอยู่ในกองทัพให้ฆ่าทิ้งเสีย ที่กล่าวมาเป็นเพียงอุปมาอุปมัย จุดมุ่งหมายที่แท้จริงเพียงต้องการชี้ให้เห็นว่า ดวงจิตของคนเรามีอะไรแอบซ่อนอยู่ ควรสอดส่องให้รู้แจ้งแล้วรีบแก้ไขข้อเสียนั้นด่วน ดวงจิตจะได้ส่องประกายความสว่างไสวพร้อมรับผลแห่งบุญกุศล แก้และลดวิบากกรรมได้ บางท่านทำบุญอย่างไรก็ไม่เห็นบุญ เพราะติดตัวโง่นั่นเอง
วิธีแก้ไข
๑. ลดทิฐิมานะในตัว จุดแรกเราต้องทำใจกว้างๆ ก่อนว่า เรายินยอมให้แสงธรรมเข้ามาสาดส่องดวงจิตของเรา จิตของเราต้องการแสงสว่างให้เข้ามาขจัดความมืดบอด และพร้อมกันนั้นก็ต้องการผู้ชี้ทางออกให้ พร้อมที่จะปฎิบัติธรรมเพื่อมีชีวิตที่สงบเย็นเป็นสุขอันเกษมอย่างแท้จริง จิตดวงนี้ยอมน้อมลงเพื่อที่จะหยุดแรงกรรมกำจัดความมืดแห่งทิฐิตัวโง่นั้น ยอมที่จะอ่อนน้อมและตั้งศรัทธามั่นในพระธรรมคำสอนของสมเด็จพระภควันพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างไม่ติดสงสัย และต้องยอมให้ถูกขัดเกลากิเลสเพื่อให้เกิดมิติใหม่แห่งการดำเนินชีวิต เมื่อทั้งหมดพร้อมแล้วก็เริ่มดำเนินการปฎิบัติธรรมกันต่อไป
๒. ยอมรับเรื่องของกิเลส ที่อยู่ในจิตของเราว่าเรามีกิเลสหนาอยู่ อยากจะขัดเกลากิเลสเหลือเกิน หากไม่อยากก็ยากที่จะขัดเกลา เพราะเรายังรักกิเลสอยู่ ยังเสียดายกิเลสอยู่ เมื่อยังรักยังเสียดายก็ยากแก่การขัดเกลาให้เบาบางหรือหายไปได้ แต่ถ้าเราเบื่อมันแล้วเพราะมันเป็นของร้อนอยากพบกับความเย็นบ้าง มันเป็นของทำให้เราดิ้นรนไปไม่หยุดสักทีเหนื่อยเหลือเกินแล้ว ก็ต้องดับกิเลสตัวไฟ ตัณหาราคะ ตัวอุปปาทานให้หมดไป ลองถามตัวเองสักทีว่าเหนื่อยพอหรือยัง
๓. จิตใจอ่อนโยน จิตมันกระด้างมานาน หยาบคายมานาน ความกระด้างกระเดื่องในธรรมมานาน รู้สึกได้ว่าตนเอง เป็นคนเถื่อน ไม่อยากบ้าใบ จิตใจกระด้าง ไม่อยากเป็นคนเถื่อนก็เริ่มเข้าหาธรรมะ เพราะธรรมะเป็นสิ่งที่ทำให้คนเป็นคนว่าง่าย เป็นคนอ่อนโยน เป็นคนมีจิตใจดี มีการกระทำดี และที่สำคัญเป็นคนเสียสละ และพร้อมให้ความรักต่อสรรพสัตว์ทั้งหลายทั่วโลกทั่วจักรวาลไม่เลือกชั้นวรรณะ ไม่แบ่งเขาแบ่งเรา ทุกคนเสมอกันทุกคนเป็นมิตรต่อกันสังคมมันก็สงบสุข โลกและจักรวาลก็สงบสุข เมื่อทุกอย่างสงบสุข ก็ไม่ต้องมีการรบราฆ่าฟัน ไม่ต้องทำร้ายซึ่งกันและกัน ไม่มีศัตรู ไม่มีเวรมีกรรมต่อกัน อะไรมันจะดีไปกว่านี้
เตรียมเสบียงไปเลี้ยงจิต การเดินตามรอยพระบาทแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เดินตามรอยเท้าพ่อ-แม่ ครูบาอาจารย์ ไปในทิศทางอันเจริญไม่ตกไปสู่ทางเสื่อมทราม ไม่ให้ตนเป็นคนไร้ศีลขาดธรรมจนกลายเป็นผู้เกิดมาตายเปล่าไร้ประโยชน์ (ประโยชน์ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงผลตอบแทนทางโลก) เรียกว่า “วิธีขจัดตัวโง่ออกไปเอาตัวปัญญาเข้ามาเป็นเจ้าเรือนแทน” อ่านมาถึงตรงนี้คงอยากทราบรายละเอียดแบบหยั่งลึก ชนิดถอนรากถอนโคนเจ้าต้นทิฐิมานะกันแล้วกระมัง ถ้าเช่นนั้นเรามากำจัดเจ้าต้นวัชพืชชีวิตพร้อมๆ กันดีกว่า คำว่า เสบียง หมายถึง สัมภาระที่จัดเตรียมในการเดินทาง เช่น อาหาร เสื้อผ้า ยารักษาโรค น้ำดื่มเป็นต้น และคำว่าเสบียงก็ยังหมายถึงของจำเป็นเท่านั้นสิ่งใดไม่จำเป็นก็ไม่ควรนำไป เพราะจะเกิดเป็นภาระให้ลำบากเปล่าๆพระธุดงค์หรือผู้ที่นิยมการเดินป่าหรือผู้ที่ต้องเดินทางเป็นประจำ ย่อมรู้จักคำว่าเสบียงได้ดี และสามารถจัดเสบียงได้ดีด้วย เพราะรู้และเข้าใจว่าสิ่งใดควรนำติดตัวไปสิ่งใดไม่ควร หากพกสิ่งไม่จำเป็นจริงๆ ติดตัวไปก็ยิ่งเพิ่มน้ำหนักสร้างภาระอันหนักหนาสาหัสให้กับตนในขณะการเดินทางไกลนั้น

เสบียงธรรม ที่ต้องเตรียมในการเดินมีอยู่ ๕ สิ่งที่สำคัญมากห้ามลืมเด็ดขาดคือ
๑. จิตที่อ่อนน้อม แต่ไม่อ่อนแอ
๒. ความศรัทธาที่มั่นคง พกไปให้เต็มกระเป๋า จนไม่สามารถบรรจุอะไรได้อีกแล้ว
๓. ร่างกายและจิตใจที่ตั้งตรง ( รักษาศีลปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง ) ไม่โน้มเอียงไปทางที่ชั่ว
๔. ความพร้อมที่จะเรียนรู้ไม่ทำตนเป็นน้ำที่เต็มแก้ว และคอยสอดส่อง เพิ่มเติมองค์ความรู้ที่
ถูกต้อง แก้ไขสิ่งที่มืดบอดขจัดความโง่และความดื้อด้าน ความสกปรก ที่สะสมในใจมานาน
ให้หมดไป
๕. ยอมถูกขัดเกลาจิตใจเพื่อเดินสู่ทางสายธรรม ต่อไป
ประการที่สองความหลง คนหลงมีมากมายเหลือเกิน หลงชีวิต หลงลาภยศ หลงสรรเสริญ หลงสุข-ทุกข์ หลงตน หลงรัก-ชัง หลงอาฆาตพยาบาท หลงทรัพย์สินเงินทอง หลงลูก-ผัว-เมีย หลงทรัพย์สินเงินทองพัสถานนาๆ และหลงผิด ทั้งหลงดี-หลงชั่ว ความหลงนี้เป็นสิ่งที่ทำให้เสียเวลาเป็นอย่างยิ่ง เหมือนเดินในเขาวงกตเลยทีเดียว กว่าจะออกมาได้บางคนแทบเอาชีวิตไม่รอด แต่ถ้าเดินออกมาจากวังวนนั้นได้ มีหลายคนที่ปฏิญาณตนว่าไม่ขอกลับไปอีกจนวันตาย ถ้าต้องเกิดใหม่ก็ขอให้มีปัญญาขอบุญรักษาให้พ้นจากความหลงทั้งปวงกันเลยทีเดียว เพราะทางมีให้เดินมากหลายทาง แต่ทางเดินใหญ่ๆมีเพียง ๒ ทางเท่านั้นคือ ทางดี กับ ทางชั่ว ซึ่งในหัวข้อทางดี ๑ และทางชั่วอีก ๑ นี้ ในแต่ละทางยังแบ่งแยกย่อยเป็นรากแขนงและรากฝอยไปอีกนับไม่ถ้วน ตามความชอบของแต่ละคน
ถ้าเปรียบชีวิตเป็นเส้นทางแห่งการเดินทางให้เหมือนเส้นทางการเดินรถก็คงไม่ต่างกันเท่าไร คนหนึ่งคนจะเดินทางไปถึงจุดหมายปลายทางได้นั้น ย่อมต้องผ่านอะไรต่อมิอะไรมากมายเข้ามาในชีวิต ทั้งสุขและทุกข์นานา บ้างก็มีเส้นทางเปรียบดั่งโรยด้วยกลีบกุหลาบ บ้างก็ย่ำเดินบนเสี้ยนหนามอันแหลมคมเจ็บปวดทรมานแสนสาหัส แต่สิ่งหนึ่งที่คนจำนวนมากพากันลืมไปอย่างสนิทใจ นั่นคือ แผนที่ชีวิต สิ่งๆนี้เป็นสิ่งที่จำเป็นที่ไม่ควรลืม นอกจากจะต้องใช้แผนที่แล้วยังต้องมี กำลังกาย กำลังใจและพลังแห่งความศรัทธาอันยิ่งใหญ่ เพื่อใช้ในการก้าวเดินไปสู่จุดหมาย นั่นคือ ชีวิตที่สงบเย็นไม่กลับมารุ่มร้อนทุรนทุรายดั่งถูกไฟนรกแผดเผาอย่างทุกข์ทรมานไม่รู้จักจบสิ้น
แผนที่ชีวิต แผนที่ชีวิตนี้ควรศึกษากันให้ดี อ่านให้เป็น ศึกษากันให้ทะลุ เดินให้ถูกทางไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางลัด แต่ที่สำคัญต้องเป็นทางที่ถูกต้อง และถูกควร ผู้บัญญัติแผนที่ชีวิตไว้ให้เราได้ศึกษาและเดินตามนั่นคือ องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าพระพุทธเจ้านั่นเอง ท่านได้เดินนำทางพวกเราไปก่อนแล้ว ท่านได้ทรงตรัสไว้ว่า
เส้นทางธรรมนี้ทุกคนต้องเดินเอง ปฎิบัติเอง รู้เองเห็นเอง เราเป็นเพียงผู้บอกทางเท่านั้น” ท่านไม่สามารถที่จะทำแทนใครได้ ทุกอย่างเป็นปัจจัตตังอีกทั้งยังแบ่งมนุษย์ออกเป็น ๔ เหล่าเปรียบคล้ายดอกบัว ๔ เหล่าตามที่เราท่านทั้งหลายเคยศึกษา ได่ยินได้ฟังมานั่นเอง ถ้าเรากลับมาย้อนคิดว่า พระองค์ท่าน กำลังตรัสชี้แนะอะไรให้กับเรา ท่านให้ความรักความเมตตา กรุณาปราณีกับสัตว์โลกทุกหมู่เหล่าจริงๆ แต่สัตว์โลกทั้งหลายเหล่านั้นจะรับความเมตตาจากท่านได้ไม่เท่ากันตามแต่เหตุแห่งบุญกรรมของแต่ละดวงจิตดวงวิญญาณ แรงกรรมเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยากและมีความเที่ยงธรรมที่สุด
เมื่อรู้เช่นนี้แล้วเราก็ควรเป็นผู้ฉลาดที่เลือกกระทำในสิ่งที่ดีเป็นประโยชน์ เหมือนการเลือกกินอาหารควรเลือกกินแต่สิ่งที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเท่านั้น สิ่งที่เป็นพิษเราก็ไม่กินร่างกายก็แข็งแรงไม่มีโรคภัยเข้ามาเบียดเบียนมันก็เท่านั้น แต่ในการปฏิบัติธรรมมันละเอียดกว่านั้น มันพิถีพิถันกว่านั้นมันต้องตั้งใจอย่างมาก ไม่ใช่สักแต่ว่าทำไป ทำไปทำไมก็ไม่รู้อย่างนี้ก็ใช้ไม่ได้ เช่นเดียวกันการสร้างกรรมคือการกระทำที่เป็นประโยชน์กับตนเอง ถ้ายังโง่อยู่ก็คงตั้งใจสร้างแต่กรรมชั่วการกระทำที่ชั่วต่อไปก็เข้าสู่นรกอเวจีนั้นเอง

การที่คนเรายังยึดโน่นนี่อยู่ ยังมีตัวกูอยู่ ยังมีของกูอยู่ เห็นทีจะแย่ ดัง บทภารสุตตคาถา
ภารา หะเว ปัญจักขันธา, ขันธ์ทั้ง ๕ เป็นของหนักเน้อ,
ภาระหาโร จะ ปุคคะโล, บุคคลแหละ เป็นผู้แบกของหนักพาไป,
ภาราทานัง ทุกขัง โลเก, การแบกของหนักเป็นความทุกข์ในโลก, เป็นต้น
อ่านมาถึงตรงนี้บางท่านเริ่มเกิดปัญญาเริ่มรู้แล้วว่าเราแบกภาระไว้อย่างหนักเป็นทุกข์มาก แต่ถึงกระนั้น บางสิ่งก็ยังเป็นของที่ต้องรับไว้เป็นภาระต่อไป มิใช่ว่าจะตัดได้ทีเดียว คงจะต้องสั่งสมบารมีธรรมค่อยเป็นค่อยไป ค่อยๆแก้ไข การไม่ยึดมั่นถือมั่นในเบญจขันธ์ฟังดูเหมือนง่ายแต่ไม่ง่าย ฟังดูยากแต่มันไม่ยากมันอยู่ที่เรา ตัวเราเท่านั้นที่พร้อมที่จะเข้าใจและสละตัวกู คำว่าตัวกูแค่คิดก็มากมายหลายอย่าง เช่น ลูกกู ผัวกู เมียกู สมบัติกู ลาภยศสรรเสริญก็ของกู พอเสียของกูไป ก็เสียใจว่าของกูเสียไป เพราะตามสติไม่ทัน ว่าโลกนี้เป็นของคู่กัน ๔ คู่ นั้นคือโลกธรรม ๘ มีได้มาสุดท้ายก็ต้องเสียไป มีรักย่อมมีชัง มีได้ลาภยศ ย่อมเสื่อมลาภเสื่อมยศ มีสรรเสริญย่อมมีนินทา เป็นต้น เมื่อมีสติย่อมไม่มีตัวกูไม่มีของกู แต่ถ้าตามสติไม่ทันย่อมเป็นทุกข์เพราะทุกอย่างเป็นของกูทั้งนั้นยึดไว้แน่นมากเท่าไรก็ทุกข์มากเท่านั้น

พระพุทธองค์ตรัสว่า
วาจาสุภาษิต ย่อมไม่มีผลแก่ผู้ไม่ทำตาม
เหมือนดอกไม้งามแต่ไม่มีกลิ่น
วาจาสุภาษิต ย่อมมีผลแก่ผู้ทำตามด้วยดี
เหมือนดอกไม้งามมีทั้งสีและมีกลิ่น ฉะนั้น

สรุป ท่านต้องการเป็นดอกไม้ที่สวยแต่รูป หรือสวยทั้งรูปและหอมทั้งกลิ่นเหมาะแก่การนำไปบูชาพระรัตนะตรัยก็เชิญเลือกกันตามแต่บุญบารมีเทอญ.

เกษแก้ว ศรัทธาโพธิธรรม

วันพุธที่ ๑๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

เรื่องที่ ๕ กรรมจากการทำแท้ง

เรื่องที่ ๕ กรรมจากการทำแท้ง

“กิจโฉ มนุษะ ปฏิภาโพธิ์” การเกิดเป็นมนุษย์นั้นแสนยาก เป็นพระพุทธพจน์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในครั้งหนึ่งพระสารีบุตรเคยทูลถามพระพุทธองค์ว่า...
“การจะเกิดเป็นมนุษย์นั้นมีโอกาสมากน้อยเพียงใดพระเจ้าข้าฯ” พระพุทธ์องค์ไม่พูดอะไรเลย แต่ทรงใช้นิ้วมือแตะลงบนพื้นดินแล้วชูขึ้น ตรัสตอบกับพระสารีบุตรว่า
“มีเพียงแค่นี้....สารีบุตร”นั้นหมายถึงสรรพสัตว์ที่ต้องไปเวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆมีจำนวนมากเทียบเท่ากับดินทั่วไปทั่วพื้นปฐพี แต่ที่สามารถเกิดเป็นมนุษย์ได้....มีเพียงแค่ดินที่ติดปลายนิ้วของพระพุทธองค์เท่านั้น

ทำแท้ง คือ การฆ่าคน เป็นฆาตกรฆ่าลูกในไส้ของตนเอง ไม่ว่าผู้นั้นจะขึ้นชื่อว่าแม่หรือพ่อล้วนเป็นหุ้นส่วนกรรมมหันต์นี้ด้วยกันทั้งคู่ ไม่ต้องโยนบาปให้กันและกัน ไม่ต้องโยนผิดป้ายโทษว่าใครเป็นต้นเหตุ สุดท้ายได้รับกรรมอย่างสาสมด้วยกันทั้งคู่ ความจริงเรื่องการทำแท้งเป็นผลสุดท้ายของความชั่วที่ได้รับการไตร่ตรอง วางแผนทำลายหลักฐานการก่อความชั่ว ส่วนเหตุนั้นมาจากการที่บุคคลขาดการสำรวม ทั้งกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม เห็นความมักมากในกามอารมณ์เป็นของสนุกอย่างไร้ยางอาย ขาดความศรัทธาและขาดความเคารพในธรรม ไม่เชื่อเรื่องบาปบุญคุณโทษ ความประพฤติที่ประมาทท้าทายต่อธรรม ไม่เกรงกลัวไม่ละอายต่อบาปใดๆ ทั้งสิ้น บาปที่มีโทษหนักที่สุด ๕ ประการ คือ ฆ่าบิดา ฆ่ามารดา ฆ่าพระอรหันต์ ทำให้สงฆ์แตกแยก ทำร้ายพระวรกายพระพุทธเจ้าห้อเลือด ดังนั้น การทำแท้งจึงมีบาปเท่ากับการฆ่าพระอรหันต์ เหตุเพราะ เด็กในครรถ์ยังบริสุทธิ์ มิเคยได้สร้างบาปกรรมใดๆ เลย และไม่มีเหตุปัจจัยของการสร้างกรรม ชีวิตของเขาจึงบริสุทธิ์ดั่งพระอรหันต์ ดังนั้น การทำแท้งฆ่าเด็กทารกในครรถ์หนึ่งคนจึงมีบาปเท่ากับฆ่าพระอรหันต์หนึ่งพระองค์ การฆ่ามนุษย์นั้นว่าบาปมากแล้ว แต่การฆ่าเด็กทารกที่บริสุทธิ์เป็นบาปหนักยิ่งกว่า

ผลกรรมจากการทำแท้ง พระพุทธองค์ยังได้ตรัสอีกว่า ผู้ที่เคยทำแท้ง ขณะมีชีวิตจะได้รับผลกรรมสนองจากโรคร้าย ป่วยหนัก อายุสั้น การถูกขัดขวางไม่ให้พบความเจริญ ความฉิบหายมาสู่ตนอย่างหาสาเหตุไม่ได้ ครั้นจบชีวิตแล้วจิตวิญญาณต้องได้รับโทษทัณฑ์ที่แสนสาหัสในนรกภูมิเป็นเวลาอันยาวนานมิอาจประมาณได้ และยิ่งถ้าหากเด็กผู้ตายนั้นมีจิตอาฆาตพยาบาทด้วยแล้วยิ่งลำบากหนัก เพราะจิตอาฆาตนั้นจะเฝ้าจองเวรกันทุกลมหายใจเข้าออก ทำให้ชีวิตไม่เป็นสุขทุกข์ทรมานต้องพบกับความล้มเหลวอย่างไม่หน้าจะเป็นไปได้ หรือบางท่านพบแต่ความทุกข์ระทม ล้มละลายทั้งชีวิตการงานและชีวิตครอบครัวหาความสงบสุขได้ยาก ต้องชดใช้กรรมกันอย่างสาสม จนกว่าแรงกรรมนั้นจะได้ชำระกันจนหมดสิ้น หรือ จนกว่าเป็นที่เพียงพอของจิตวิญญาณนั้น ที่สุดยกให้เป็นอโหสิ
มีตัวอย่างเกี่ยวกับการทำแท้งไว้ให้เป็นอุทาหรณ์ บางท่านอ่านแล้วอาจจะไม่รู้สึกอะไร แต่บางท่านถ้ารู้สึกว่าเรื่องบาปกรรมมันน่ากลัวก็ควรรีบละบาปและเร่งสร้างบุญให้จงมากจะดีกว่าเคยมีสตรีหลายท่านที่เคยมีประสพการณ์ในการทำแท้งมาเล่าให้ฟัง ในขณะที่ดิฉันได้ตรวจดวงชะตาพบว่าเคยทำแท้งมา เป็นเหตุให้ชีวิตในปัจจุบันล้มเหลวตลอด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องครอบครัว สุขภาพ หรือการงาน ล้วนพบแต่ความวิบัติอันสืบมาจากกรรมที่เคยทำแท้ง เช่น ผู้หญิงคนหนึ่งเมื่อสมัยที่เธอยังเป็นสาววัยรุ่นอยู่ได้พบรักกับชายวัยรุ่นวัยคนอง และได้เสียกันก่อนวัยอันควร แต่ขาดความระมัดระวังจึงตั้งท้อง และด้วยวัยละอ่อนจึงไม่สามารถดูแลรับผิดชอบกับสิ่งที่ตนกระทำลงไปได้ จึงต้องกำจัดสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ตั้งใจทำให้เกิด นั่นคือลูกในท้อง ด้วยการทำแท้ง ต่อมาเธอก็แต่งงานใหม่อย่างมีหน้ามีตากับสามีอีกคนแต่ไม่นานสามีก็เริ่มนอกใจ และมักทำร้ายเธอเสมอแต่ไม่ยอมเลิกลา เวลาดื่มเหล้าแล้วชอบซ้อมเมียเป็นกิจวัตร จะเลิกก็เลิกไม่ได้ ต่อมาไม่นานยังบังคับเอาเงินทองจากเธอไปจนหมดทำให้เธอต้องเป็นหนี้สินมากมาย และสุดท้ายก็เลิกกันโดยไม่มีบุตรด้วยกันทั้งที่อยู่กันมา 5 ปี ผ่านไปไม่นาน เธอแต่งงานใหม่พบชายคนใหม่ก็มีชีวิตที่ไม่สุขสบายอีกเช่นเดิม นรกอยู่ในอกตลอดเวลาจนวันหนึ่งเมื่อมาพบดิฉัน และได้ตรวจกรรมจึงยอมรับสารภาพว่า เคยทำแท้งมาจากการที่รักสนุกในเรื่องกาม เป็นเหตุให้มีชีวิตอับจนเช่นนี้ ก็แนะนำให้เธอไปรักษาศีล และหมั่นทำบุญ อีกทั้งให้ขมากรรมกับเจ้ากรรมนายเวร ให้ละอายเกรงกลัวต่อบาปอย่าได้ทำเช่นนั้นอีกต่อไป จนสุดท้ายที่ได้พบกัน เธอบอกว่า เดี๋ยวนี้ได้พบสามีคนใหม่เป็นคนที่ 3 ซึ่งดีกับเธอมากแต่ไม่สามารถมีลูกด้วยกันได้เพราะเธอได้ตัดมดลูกทิ้งไปแล้วตั้งแต่ตอนอยู่กับสามีคนที่ 2 เพราะเนื้องอกและมดลูกอักเสบอย่างแรง นี่แหละ กรรม

สรรพสัตว์ทุกชนิดในโลกนี้ล้วนรักชีวิตของตนทั้งสิ้น เช่นเดียวกับที่ตัวเราก็รักชีวิตของเราดุจเดียวกัน
จงมีเมตตา และให้ความเคารพในชีวิตของกันและกันเถิด สันติสุขจะเกิดได้เมื่อทุกสรรพสัตว์เคารพในธรรม

จงรักชีวิตของผู้อื่นให้เหมือนรักชีวิตตนเอง
เกษแก้ว ศรัทธาโพธิธรรม

วันพุธที่ ๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

อาจารย์ใหญ่สอนธรรมะอยู่ที่ไหน ขั้นที่ ๓

อาจารย์ใหญ่สอนธรรมะอยู่ที่ไหน ขั้นที่ ๓
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกไม่มีคำว่า “โดยบังเอิญ”
ธรรมะจัดสรร กรรมะบันดาล นั่นคือ ความหมายเดียวกับคำว่า กฎแห่งกรรม ลองหันมาพิจารณากันอีกสักครั้ง
หนึ่งชีวิต ตั้งแต่ลืมตาดูโลกล้วนดำเนินไปด้วยอำนาจแห่งกรรมทั้งสิ้น อดีตชาติของคนและสัตว์นั้นมีมากมายนัก จึงได้ทำกรรมกันไว้มากมาย กุศลกรรมบ้างอกุศลกรรมบ้าง ชีวิตในปัจจุบันมีดีบ้างไม่ดีบ้าง สุขบ้างทุกข์บ้าง คนมั่งมีเป็นมหาเศรษฐีพรั่งพร้อมด้วยอำนาจวาสนา ก็ด้วยอำนาจของ กุศลกรรม คือ การบริจาคทานช่วยเหลือเจือจุนผู้อื่น ทำแต่กรรมขาว และมีจิตใจที่งดงาม ได้กระทำสั่งสมมานับชาติไม่ถ้วนไว้ในอดีต นั่นก็เป็นกฎแห่งกรรมว่าด้วย ทำดีได้ดี แต่ เมื่ออกุศลกรรม คือ การคดโกง เบียดเบียนทรัพย์สินให้ผู้อื่นต้องเดือดร้อน ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ไม่มีศีลธรรม สร้างแต่กรรมดำไว้ในอดีต ส่งผลและเป็นผลที่แรงกว่ามีกำลังกว่ากุศลกรรมที่กำลังเสวยผลอยู่ อกุศลกรรมก็จะตัดรอนกุศลกรรม การส่งผลไม่ดีของอกุศลกรรมให้เกิดแทน ความมั่งคั่งมั่งมีก็จะกลับเป็นความอัตคัดขัดสน หรือมีโรคภัยร้ายแรงตัดและบั่นทอนนานา ถึงที่สุดเป็นบุคคลทุพลภาพหรืออายุสั้น สิ้นเนื้อประดาตัวก็มี ผู้ที่มีปัญญาจึงกลัวกรรมเป็นอย่างยิ่งมากกว่าอะไรอื่น กลัวเพราะรู้ว่า เมื่อทำกรรมไม่ดีไว้แล้วต้องได้รับผลไม่ดี และเมื่อถึงเวลาที่กรรมส่งผลไม่ดีมาถึงตัวแล้วหากยังไม่รู้ตัวย่อมจะรอดพ้นผลแห่งกรรมนั้นได้ยาก สิ่งนี้ก็คือ ทำชั่วได้ชั่ว บางคนตั้งแต่เกิดมาในชาตินี้ไม่เคยทำกรรมไม่ดีเช่นนั้น แต่ก็ต้องได้รับผลไม่ดี ที่อาจจะทำให้เกิดความพิศวงสงสัย จนทำให้เกิดเป็นมิจฉาทิฐิความเห็นผิด คือเห็นไปว่าทำดีไม่ได้ดี ซึ่งความจริงไม่ใช่เช่นนั้น ทำดีต้องได้รับผลดีเสมอ ทำไม่ดีจึงจะได้รับผลไม่ดีความเที่ยงตรงนี้ไม่มีวันผันแปร
วิธีแก้หรือทอนกำลังการส่งผลของอกุศลกรรมในเบื้องต้นท่านต้องเชื่อเรื่องผลของกรรมว่ามีจริงเสียก่อนเมื่อเชื่อเช่นนั้นแล้วก็ไม่เป็นการยากที่เราจะแก้ไขให้ชีวิตดีขึ้นได้ เริ่มต้นด้วยการให้สัญญาว่าจะไม่ทำกรรมไม่ดีอีกทั้ง กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม เชื่อและศรัทธาในพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพรผู้มีพระภาคเจ้า และเริ่มค้นคว้าหาวิธีปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง ลองเข้ามาศึกษาว่าเหตุของการเกิด ภพชาติ เกิดขึ้นได้อย่างไร คงเคยได้ยินคำว่า ปฏิจสมุปบาท เหตุให้เกิดภพชาติ (การเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จักจบสิ้น) แต่ก่อนที่จะเข้าไปถึงสิ่งนี้เราลองหาวิธีวางรากฐานของชีวิตให้พ้นจากความชั่วทั้งปวงเพื่อชีวิตที่บริสุทธิ์ คนเราควรมีสามัญสำนึกที่จะต้องดำเนินชีวิตที่ดีงามให้จงได้ และต้องร่วมกันสร้างสรรค์สังคมให้น่าอยู่ให้เจริญมั่นคง ตามหลักวินัยของคฤหัสถ์ (คิหิวินัย) ดังนี้
กฎ ๑ เว้นชั่ว ๑๔ ประการ
ก. เว้นกรรมกิเลส ๔ การไม่กระทำบาปทางกายอันจะทำให้ชีวิตมัวหมอง คือ ๑. เว้นปาณาติบาตการฆ่าสัตว์ ๒.เว้นอทินนาทานเว้นการลักทรัพย์ ๓.เว้นกาเมสุมิจฉาจารเว้นการประพฤติผิดในกาม ๔. เว้นมุสาวาทเว้นการพูดเท็จโกหกหลอกลวง
ข. เว้นอคติ ๔ การไม่กระทำผิดทางใจความลำเอียง/ประพฤติคลาดธรรม คือ ๑. เว้นฉันทาคติ คือ ความลำเอียงเพราะชอบ ๒. เว้นโทสาคติ คือไม่ลำเอียงเพราะชัง ๓. เว้นภยาคติ คือ ไม่ลำเอียงเพราะขลาด ๔. เว้นโมหาคติไม่ลำเอียงเพราะเขลา
ค. เว้นอบายมุข ๖ การไม่หลงมัวเมาอยู่ในหนทางแห่งความโง่ที่ชั่วช้าน่าอับอาย ช่องทางเสื่อมทรัพย์อับชีวิต คือ ๑.ไม่เสพติดสุรายาเมา ๒.ไม่เอาแต่เที่ยวไม่รู้เวลา ๓. ไม่จ้องหาแต่รายการบันเทิง ๔. ไม่เหลิงไปหาการพนัน ๕. ไม่พัวพันมั่วสุมมิตรชั่ว ๖.ไม่มัวจมอยู่ในความเกียจคร้าน
กฎ ๒ เตรียมทุนชีวิต ๒ ด้าน
ก. เลือกสรรคนที่จะเสวนา คบมิตรที่นำไปในทางแห่งความเจริญและสร้างสรรค์ โดยหลีกเว้นมิตรเทียมมิตรพาให้ฉิบหาย คบหาแต่มิตรแท้ คือ ๑. รู้ทันมิตรเทียม หรือ ศัตรูผู้มาในร่างมิตร แบ่งเป็น ๔ ประเภทคือ คนปอกลอก คนดีแต่พูด คนหัวประจบ คนชวนฉิบหาย ๒. รู้ถึงมิตรแท้ หรือ มิตรด้วยใจจริง (สุหทมิตร) ๔ ประเภท มิตรอุปการะ มิตรร่วมสุขร่วมทุกข์ มิตรแนะนำประโยชน์ มิตรมีใจรักเมตตาต่อกัน
ข. จัดสรรทรัพย์ที่หามาได้ ด้วยสัมมาชีพ ดังนี้ ขยันหมั่นเพียรในการทำงานดังผึ้งน้อยสร้างรวงรังและ เก็บออมทรัพย์ที่หามาได้ดังผึ้งเก็บรวมน้ำหวานและเกสร เมื่อก่อร่างสร้างทรัพย์ได้ พึงวางแผนการใช้จ่ายอย่างรอบคอบใช้จ่ายในสิ่งอันเป็นประโยชน์ โดยจัดส่วนดังนี้ ๑ ส่วนใช้เลี้ยงตัว ๑ ส่วนใช้ทำหน้าที่การงานประกอบกิจการอาชีพ ๑ ส่วน เก็บไว้เป็นหลักประกันชีวิตในคราวจำเป็นและเมื่อยามเข้าสู่วัยอาทิตย์อัสดง
กฎ ๓ รักษาความสัมพันธ์ ๖ ทิศ
ก. การทำทุกทิศให้สุขเกษมอย่างถูกฐานะ ปฏิบัติตนให้ถูกต้องตามฐานะและหน้าที่แห่งตนต่อบุคคลที่สัมพันธ์ด้วย
ทิศที่ ๑ ในฐานะที่ตนเป็นบุตร ธิดา พึงเคารพบิดามารดาซึ่งเปรียบเหมือนทิศเบื้องหน้า ทิศที่ ๒ ในฐานะที่เป็นศิษย์ พึงให้ความเคารพนพนอบต่อครูบาอาจารย์ซึ่งเปรียบเหมือนเบื้องขวา ทิศที่ ๓ ในฐานะที่เป็นสามี พึงให้เกียรติบำรุงเลี้ยงภรรยาและครอบครัวซึ่งเปรียบเหมือนทิศเบื้องหลัง ทิศที่ ๔ ในฐานะที่เป็นมิตรสหาย พึงปฏิบัติต่อมิตรสหายอันเป็นเพื่อนแท้ซึ่งเปรียบเหมือนทิศซ้าย ทิศที่ ๕ ในฐานะที่เป็นนายจ้าง พึงบำรุงคนรับใช้และคนงานในเรือนชานที่ตนปกครองซึ่งเปรียบเหมือนทิศเบื้องล่าง ทิศที่ ๖ ในฐานะที่เป็นพุทธศาสนิกชน พึงแสดงความเคารพนับถือต่อ พระสงฆ์ผู้ทรงศีล ผู้เปรียบเสมือน ทิศเบื้องบน
ข. เกื้อกูลประสานสังคม ทำตนเป็นส่วนหนึ่งของสังคมยังประโยชน์อันจะนำมาซึ่งดความสงบสุข เพื่อความเจริญรุ่งเรือง มั่นคงสมานสามัคคี เอกภาพด้วยสังคหวัตถุ ๔ คือ ๑. ทาน คือการเผื่อแผ่แบ่งปัน ด้วยเงินทองหรือข้าวของต่างๆ ตามฐานะแบ่งปันความสุขให้ผู้ร่วมสังคมนั้น ๒. ปิยะวาจา พูดจาอย่างรักกัน มีความไพเราะอ่อนหวานและจริงใจ ไม่กล่าวคำที่จะก่อให้เกิดความแตกแยก คำพูดควรยังประโยชน์แก่เขาและเราอย่างบริสุทธิ์ ๔. สมานัตตตา เอาตัวเข้าสมานช่วยสร้างสรรค์และแก้ไขปัญหาโดยธรรม ร่วมทุกข์ร่วมสุขเมื่อมีภัยมา ร่วมยินดีเมื่อมีความสำเร็จและความสุข

การนำชีวิตให้ถึงจุดหมาย
ก. จุดหมาย ๓ ขั้น ดำเนินชีวิตให้บรรลุจุดหมาย (อัตถะ) ๓ ขั้น คือ
ขั้นที่ ๑ ทิฎฐธัมมิกัตถะ ขั้นตาเห็นเกิดประโยชน์ปัจจุบันได้รับผลทันที เช่น ไม่ดื่มเหล้า ไม่มั่วอบาย มีจิตใจใฝ่ในธรรม ผลที่ได้รับ คือ การมีสุขภาพกายดี ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ อายุยืน, มีเงินมีงานทำมีอาชีพสุจริต พึ่งตนเองได้ไม่เป็นภาระของสังคม, มีสถานภาพดี เป็นที่ยอมรับนับถือของสังคม, มีครอบครัวผาสุก ทำวงศ์ตระกูลให้เป็นที่นับถือ, ทั้ง ๔ นี้พึงให้เกิดมีโดยธรรม และใช้ให้เป็นประโยชน์ ทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น
ขั้นที่ ๒ สัมปรายิกัตถะ จุดหมายขั้นเลยตาเห็น เกิดประโยชน์เบื้องหน้าหรือภพหน้า คือ มีความอบอุ่นมั่นใจในกุศลที่ตนสร้างสม ซาบซึ้งสุขใจ ไม่อ้างว้างเลื่อนลอยไม่หวาดหวั่นเมื่อทุกข์ภัยหรือความตายมาเยือน มีหลักยึดเหนี่ยวใจให้เข้มแข็งด้วยศรัทธา, มีความภูมิใจในชีวิตที่สะอาดเปี่ยมความดีมากด้วยบุญกุศล ที่ได้ประพฤติแต่สิ่งอันดีงามด้วยความสุจริต, มีความเต็มบริบูรณ์แห่งกุศลจิต ปิติมั่นคงในชีวิตที่ขาวสะอาด ในชีวิตมีคุณค่าที่ได้ทำประโยชน์ตลอดมาด้วยน้ำใจ เสียสละ, มีความแกล้วกล้าอาจหาญมั่นใจ ที่จะแก้ปัญหาต่างๆ ด้วยสติ นำชีวิตและภารกิจไปได้ ด้วยดวงแก้วแห่งปัญญา, มีความปลอดโปร่งใจ จิตมั่นคง จิตใจไม่หวั่นเกรงต่ออกุศลเรียกว่า มีทุนประกันภพใหม่ ได้ด้วยกุศลที่ได้ทำไว้แต่กรรมที่ดี
ขั้นที่ ๓ ปรมัตถะ จุดหมายสูงสุด หรือประโยชน์อย่างยิ่งอย่างสูงสุด ไม่มีอะไรจะดียิ่งกว่า สูงยิ่งกว่า คือ แม้ว่าจะต้องได้รับการกระทบแห่งโลกธรรม ด้วยเหตุใดก็ตาม พบความผันแปรที่แสบร้อน เจ็บปวดก็ไม่หวั่นไหว เพราะเราได้เตรียมการ ทั้งทางกาย ใจ และเตรียมจิตไว้มั่นคงมุ่งตรงศรัทธาในพระรัตนตรัย เป็นผู้ไม่ประมาท ก้าวเดินตามรอยพระบาทขององค์สมเด็จพระบรมไตรโลกนาทอย่าง ไม่ออกนอกลู่ทาง ดังนั้นก็ไม่หวั่นไหวมีใจเกษมศานต์ที่มั่นคง, ไม่ถูกความยึดมั่นถือมั่น เห็นแต่ตัวกูมาหรอกหลอน ยึดติดบีบคั้นจิต ให้ผิดหวังโศกเศร้า หรือระเริงใจริงโลดจนเหมือนผู้ขาดสติ คล้ายเป็นบ้า มีจิตโล่งโปร่งเบาเป็นอิสระต่อเครื่องพันธนาการ บังเกิดความสดชื่น เบิกบานใจ ไร้ความเศร้าหมอง ไร้ทุกข์ มีความสุขที่แท้, ชีวิตที่รู้เท่าทันและทำการตรงเหตุปัจจัย ชีวิตหมดจดสดใสเป็นอยู่ด้วยปัญญาไม่หลงทางอีกต่อไป
เรียกว่า “บัณฑิต “(ผู้รู้ )”
การดำรงชีวิตของมนุษย์นั้นต้องมีแบบแผนมีการเตรียมการก่อนเดินทาง ไม่เช่นนั้นจะเดินผิดทางหลงทางเสียเวลาเสียอนาคต การจะเกิดมาเป็นคนนั้นยากนักหนา แต่การดำรงชีวิตให้อยู่ได้โดยไม่เสียชาติเกิด เมื่อได้เกิดมาเป็นมนุษย์ทั้งทีจะทำอย่างไรให้ชิวิตไม่ขาดทุนและไม่ขาดบุญยิ่งยากลำบากเป็นหลายเท่าพันทวี จึงอยากแนะนำแผนที่ธรรมซึ่งเหมาะควรนำไว้ติดตัวติดใจ เพื่อใช้ ในการเดินทางสู่ความสงบเย็น อันสว่าง สะอาดนั้น แผนที่ธรรมที่จะแนะนำเพื่อใช้เป็นคู่มือการเดินทางนั้นคือ เรื่องราวของอริยะมรรคมีองค์ ๘

อริยะมรรคมีองค์ ๘ คือ หนทางมีองค์แปดประการอันประเสริฐสู่ความเป็นอริยะ
มรรคองค์ที่ ๑ สัมมาทิฎฐิ- ความเห็นชอบ มรรคองค์ที่ ๒ สัมมาสังกัปปะ- ความดำริชอบ
มรรคองค์ที่ ๓ สัมมาวาจา-เจรจาชอบ มรรคองค์ที่ ๔ สัมมากัมมันตะ- กระทำชอบ
มรรคองค์ที่๕ สัมมาอาชีวะ- เลี้ยงชีพชอบ มรรคองค์ที่ ๖ สัมมาวายามะ- พยายามชอบ
มรรคองค์ที่๗ สัมมาสติ- ระลึกชอบ มรรคองค์ที่ ๘ สัมมาสมาธิ – ตั้งจิตมั่นชอบ

เกริ่นเรื่องอริยมรรคมีองค์แปดประการแล้วเท่ากับเราได้เริ่มต้น การเดินทางชีวิตที่ถูกต้องและปลอดภัย ปิดหนทางไปนรกอย่างถาวรไว้ติดตามตอนปฏิบัติธรรมกันต่อในคราวหน้า ธรรมย่อมชนะอธรรมเสมอ ขอเพียงเราฉลาดที่จะคิดและฉลาดทำอย่างผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน จงศรัทธาเชื่อมั่นและเคารพในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธะเจ้าเถิด

ขอธรรมจงรักษาผู้ประพฤติธรรม
เกษแก้ว ศรัทธาโพธิธรรม

วันเสาร์ที่ ๑๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

เรื่องที่ ๔ กรรมตามสนองคนมากชู้

เรื่องที่ ๔ กรรมตามสนองคนมากชู้

เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่น่าจะนำมาเป็นอุทาหรณ์สอนใจสำหรับท่านที่ขาดปัญญาและศรัทธาผิด เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อหลายปีก่อน มีครอบครัวหนึ่งซึ่งเกิดปัญหาในครอบครัวหลายอย่างกับผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวจนสุดทางที่จะเยียวยา ก่อนที่จะเล่ารายละเอียดคงต้องเกริ่นถึงความเป็นมาเป็นไปของชายคนนี้เสียก่อน สมมุติชื่อเจ้าของเรื่องว่านายคนอง ชายคนนื้เป็นบุคคลที่มีบุคคลิกค่อนข้างหนักไปในทางนักเลง และมีนิสัยเป็นนักเลงเจ้าชู้ ชอบในทางชู้สาว มักล่อหลอกให้ผู้หญิงตายใจ หลงใหลในตนเมื่อเบื่อก็ทิ้งไปไม่เคยเหลียวแล นายคนอง เป็นคนมีชื่อเสียงและค่อนข้างมีฐานะดีอีกทั้งเป็นคนมีเสน่ห์ทางวาจาเป็นอย่างมาก ดังนั้นผู้หญิงที่เสียท่าให้ก็เพราะเหตุว่า หลงใหลในชื่อเสียงและคำหวานๆจากนายคนองด้วยความสมัครใจ ไม่เคยรู้ว่านั้นคือยาพิษที่เคลือบด้วยน้ำตาล ในที่สุดเด็กสาวเหล่านั้นก็ถูกยาพิษจากคำลวงฆ่าตายทั้งเป็น เป็นจำนวนมากเท่านั้นยังไม่พอบางคนไม่ระวังเกิดท้องไส้ขึ้นมา นายคนองก็ให้ไปทำแท้งเอาเด็กออกเป็นกรรมซ้ำกรรมซ้อนอีกหลายคน (ศีลข้อ๑ ปาณาติปาตาเวรมนีฯ ห้ามฆ่าสัตว์) นี่บาปยิ่งกว่าเพราะฆ่าลูกในอกของตนเอง นิสิตหญิงหลายคนและครอบครัวของเด็กสาวเหล่านั้นที่ต้องตกเป็นเหยื่อยต้องมีมลทิลต้องเสียใจเพราะหลงในคำชาย การนายคนองมีภรรยหลายคน การที่คนเราไม่สำรวมระวังในศีล โดยเฉพาะ ข้อกาเมสุมิจฉาจาราฯ ซึ่งเป็นศีลข้อที่ ๓ ว่าด้วยเรื่อง การไม่ผิดลูก- เมีย - ผัว และคนในปกครองของคนอื่นเขาเมื่อเขาไม่อนุญาต ตามที่ได้เขียนบรรยายไว้ในหัวข้อ “อาจารย์ใหญ่สอนธรรมะอยู่ไหน” นั้น ความเดือดร้อนย่อมไม่เกิดแต่เฉพาะตัวผู้ประพฤติผิดเท่านั้น แต่มันเป็นกรรมมรดก กรรมเผ่าพันธ์ตกถึงบริวาลทั้งหมดของตน ทั้งคู่รักของตน บุตร-ธิดาโดยทั่วกัน นายคนองนี้ก็เช่นกัน เพราะการเป็นคนที่มักมากในกามไม่เคยสำรวมระวัง และทั้งไม่เคยสำนึกเกรงกลัวต่อบาปกรรมใดๆ เพราะคิดว่าผู้หญิงที่ตกเข้ามาเป็นเหยื่อของตนนั้นได้ทำการคัดสรรแล้วว่าเป็นเด็กที่ยังไม่เคยผ่านการแต่งงาน เป็นหญิงโสด ดังนั้นจึงไม่ผิดศีลในข้อ ๓ นี้ (ซึ่งเป็นการเข้าใจผิดในศีลธรรมอย่างมากมาย เพราะความเบาปัญญา และดูถูกกฏกรรม) จนในที่สุดปัญหาใหญ่ในชีวิตก็เกิดขึ้น ภรรยาคนสุดท้อง (เมียน้อย) ที่นายคนองหลงใหลและรักมากที่สุดของเขาแอบไปมีชายอื่นเรียกว่า “เล่นชู้” นั่นเอง และก็ได้นำชายชู้นั้นมาขอหญิงที่นายคนองกำลังหลงใหลนี้ไปจากอกตน เท่านั้นยังไม่พอ ภรรยาหลวงของตนซึ่งอยู่ที่บ้านผู้เป็นแม่ของลูกๆตนก็คบชู้สู่ชายอีกด้วยในช่วงเวลาเดียวกันนั้น และได้หอบผ้าผ่อน เงินทองทั้งหมดไปจากเขาทั้งยังทิ้งหนี้สินไว้ให้เขาต้องตามแก้ไขจำนวนมหาศาล ทำเอานายคนองแทบเป็นบ้า หัวใจแทบล้มเหลวเพราะถูกภรรยานอกใจในเวลาเดียวกันทีเดียว ๒ คน บวกกับมีหนี้สิ้นท่วมตัว ทรัพย์สินที่ไว้ใจให้ภรรยาที่บ้านตนรักษาก็ถูกยักยอก ล้างผลาญจนสิ้นเนื้อประดาตัว นายคนองช็อคเข้าโรงพยาบาล เมื่อหายดี ก็คิดแก้แค้นภรรยาน้อยของตนโดยไปปรึกษาผู้คงแก่วิชาไสยศาสตร์ผู้มีชื่อเสียงที่สุดในประเทศไทยขณะนั้น ปัจจุบันอาจารย์ขมังเวทย์ผู้นี้กำลังรับกรรมที่ตนก่อไว้ อยู่ใน คุก ด้วยคดีข่มขืนผู้หญิง นั้นเอง โดยทำการปั้นหุ่นลงอาคมหมายเอาชีวิตของภรรยาน้อยนั้น ขณะเดียวกันในวันทำพิธีก็ได้พาน้องสาวแท้ๆ ของตนไปด้วย นายคนองและน้องสาวได้ร่วมกันทำพิธีโดยมีจอมขมังเวทย์ที่กล่าวถึงเป็นผู้ประกอบพิธีให้ ขณะนั้นผู้เป็นน้องสาวของนายคนองปวดศรีษะมากจึงให้ จอมขมังเวทย์ ลงอาคมสักยันต์ลงน้ำมัน ว่าเป็นการรักษาโรคเวร โรคกรรม ที่เป็นอยู่ให้หายไปบริเวณขมับ น้องของนายคนองสังเกตเห็นว่า ขณะที่ทำการสักน้ำมันอยู่นั้น จอมขมังเวทย์ผู้นี้จ้องมองตนด้วยสายตาเจ้าชู้ โลมเลียมชอบกล เมื่อกลับมาถึงบ้านก็รู้สึกผิดปกติ จึงเล่าให้นายคนองฟัง นายคนองใจคอไม่ดี จึงให้น้องของตน บวชชีแก้กรรมทันที แต่ที่น่าแปลก คือ ผมของน้องสาวนายคนองเมื่อปลงผมแล้วนั้นเช้าวันรุ่งขึ้น ขณะที่นายคนองจะนำไปลอยน้ำนั้นได้แก้ผ้าห่อผมออกดู ก็ตกใจเป็นอย่างมากเพราะพบหนอนในเส้นผมหลายตัวยั๊วเยี๊ยน่าขยะแขยงเป็นอย่างยิ่ง.
ทุกตัวสัตว์ย่อมตกอยู่ภายใต้กฏแห่งกรรม ทำดีย่อมได้ดีจริง ทำชั่วย่อมได้รับชั่วเป็นรางวัลจริงเช่นกัน


เกษแก้ว ศรัทธาโพธิธรรม

อาจารย์ใหญ่สอนธรรมะอยู่ที่ไหน (ตอนที่ ๒)

อาจารย์ใหญ่สอนธรรมะอยู่ที่ไหน (ตอนที่ ๒)
ผู้ที่พบอาจารย์ใหญ่เป็นคนแรกนั้นก็คือ เจ้าชายสิทธัตถะ ท่านได้ลงทะเบียนเรียนวิชาชีวิตกับอาจารย์ใหญ่เป็นองค์แรกของโลก ในวันที่ท่านได้เสด็จออกประพาสต้น พระองค์ท่านได้พบกับ ๔ พระธรรมฑูต นั้นเอง เมื่อท่านพบพระธรรมฑูตทั้งสี่แล้ว ท่านจึงรู้ว่ายังมีอีกวิชาหนึ่งที่ต้องศึกษาให้ได้ และเป็นวิชาเอกของโลก นั่นคือ วิชาชีวิต เอกสาขา การก้าวล่วงพ้นจากกองทุกข์ (ท่านที่ศึกษาพระพุทธศาสนาหรือผู้ที่นับถือศาสนาพุทธคงเข้าใจเรื่องนี้ดี) ตั้งแต่วันนั้นมาเจ้าชายสิทธัตถะก็รู้พระองค์แล้วว่าวิชานี้เป็นวิชาที่ประเสริฐที่สุด สูงสุดที่สุด พระองค์ท่านยอมสละทุกอย่างไม่ว่าจะเป็น ยศศักดิ์ สมบัติพัสถาน ภรรยาและบุตรสุดที่รัก ความสุขความสบายทั้งปวง อย่าลืมว่าพระองค์ท่านมีฐาดันดรถึงหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์ เหนือกว่าคนธรรมดาทั่วไปมากมาย ขนาดคนทั่วไปมีทรัพย์อยู่แค่กระแบะมือยังตัดได้ยาก แต่สำหรับพระองค์ท่านแล้วท่านสละได้เด็ดขาดจริงๆ เพื่อแสวงหาความรู้นี้ให้แจ้งให้จงได้เพื่อตนเองและเพื่อโลก เพื่อมนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งหลาย แม้ต้องแลกด้วยชีวิต เปรียบได้ว่าในขณะนั้นท่านเป็นดั่งเช่น พระโพธิสัตว์ปราถนาจะช่วยให้สัตว์ทั้งหลายพ้นจากกองทุกข์ทั้งมวล เจ้าชายสิทธัตถะทรงเสียสละราชบัลลังค์เพื่อก้าวสู่โพธิบัลลังค์เป็นการต่อไปพระองค์ทรงศึกษาค้นคว้าวิธีการต่างๆ กับหลายอาจารย์ในสาขาวิชาต่างๆ ที่อ้างว่าสามารถทำให้ชีวิตพ้นจากกองทุกข์ได้ ในที่สุด เจ้าชายสิทธัตถะก็ได้พบพระอาจารย์ใหญ่ด้วยตัวของพระองค์เอง และทรงประกาศพระศาสนา เกิดเป็นศาสนาพุทธ เจ้าชายสิทธัตถะจึงเป็น พระพุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน นั่นคือ องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า พระสัมมาสัมพุทธะเจ้า องค์พระศาสดาของโลก อ่านมาถึงตรงนี้ ท่านพอทราบแล้วหรือยังว่า พระอาจารย์ใหญ่สอนธรรมะอยู่ที่ไหน ใครหาเจอบ้าง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านหาเจอเป็นพระองค์แรกของโลก ซึ่งอยู่ในพระวรกายของพระองค์เอง ใครอยากพบพระอาจารย์ใหญ่สอนธรรมะในสาขา “วิชาการก้าวล่วงพ้นจากกองทุกข์” บ้าง
๑. ระเบียบการสมัครเรียน วิชาก้าวล่วงพ้นจากกองทุกข์ มีดังนี้
สิ่งที่ต้องนำมา

- ใจ ใจที่สะอาด บริสุทธิ์ ใจที่อ่อนโยน แต่ไม่อ่อนแอ
- กาย กายที่สะอาดบริสุทธิ์พร้อมจะสละความเคยชินที่มากด้วยกิเลส ตัณหา อุปปาทาน กายที่พร้อมจะสู้อย่างไม่ย่อท้อ อดทนและอดกลั้น
- ศรัทธา ต้องเป็นศรัทธาจริงไม่ง่อนแง่นคลอนแคลน พร้อมที่จะก้าวเดินไปให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์เพื่อก้าวล่วงพ้นจากกองทุกข์
- รักที่จะทำความดี ความรักที่มีต่อพระพุทธศาสนาและรักตนเอง อยากเห็นตนเองและผู้อื่นพ้นจากห้วงแห่งกองทุกข์ อย่างสงบเย็น
- ความอ่อนน้อมถ่อมตน ยอมเป็นผู้ว่าง่ายไม่แข็งกระด้าง ไม่ทำตัวเป็นน้ำที่เต็มแก้วอีกต่อไป และพร้อมที่จะเคารพในพระธรรม ปฏิบัติตามพระธรรม เห็นพระธรรมเป็นสิ่งที่สูงที่สุด ดังที่พระพุทธสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า “ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา” เมื่อครั้งที่พระพุทธองค์ใกล้จะเสด็จเข้าสู่พระปรินิพพาน
๕ สิ่งที่ต้องมีขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดไปไม่ได้เลย “รวมทั้งหมดให้ได้เป็นหนึ่งเดียว จะเกิดเป็นสติและนำไปสู่ จิต เป็นที่หมายสูงสุด”
เท่านี้แหละที่ทุกคนต้องมี ไม่ต้องนำอะไรมาเพิ่มเติม ไม่ต้องใช้เงินทองหรือข้าวของใดๆ มาลงทะเบียนทั้งสิ้น จากนี้ก็เริ่มเรียนได้
๒. นับจากนี้ขอให้ท่านปฏิบัติตามคือ กราบพระ ๓ ครั้ง
ก่อนที่จะกราบพระขอให้ท่านทำใจให้สงบก่อนและระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย พิจาระณาถึงสิ่งที่ท่านมีว่าครบ ๕ สิ่งข้างต้นหรือไม่ทุกครั้ง ถ้าไม่ครบให้ตั้งจิตใหม่ พร้อมแล้วกราบ
กราบครั้งที่หนึ่ง กล่าวว่า พุทโธ เมนา โถ พระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งที่ระลึกของข้าพเจ้า
กราบครั้งที่สอง กล่าวว่า ธัมโม เมนา โถ พระธรรมเจ้าเป็นที่พึ่งที่ระลึกของข้าพเจ้า
กราบครั้งที่สาม กล่าวว่า สังโฆ เมนา โถ พระสงฆเจ้าเป็นที่พึ่งที่ระลึกของข้าพเจ้า

การปฏิบัติธรรมเริ่มต้นที่ใจก่อน ใจเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุด แล้วตามด้วยกายเป็นกำลังที่สอง เพิ่มด้วยกำลังวิเศษ คือความศรัทธา สามกำลังใหญ่รวมเป็นพลังธรรม ก่อให้เกิดการปฏิบัติธรรมต่อไป เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้วขอให้พิจาระณาว่าขณะนี้เราต้องการอะไรจากการปฏิบัติธรรม
ส่วนมากการเริ่มต้นการปฏิบัติธรรมของแต่คนไม่เหมือนกัน จะเป็นเพราะเกิดปัญหาชีวิตต่างๆที่เข้ามารุมเร้าจนหมดกำลังใจ หรือเพราะเกิดความต้องการปฏิบัติธรรมเพื่อก้าวล่วงพ้นจากกองทุกข์ รู้แจ้งแทงตลอดธรรมก็ตาม นั่นหมายถึงคุณเดินถูกทางแล้วด้วยทุกเหตุผล เพราะหนทางธรรมนี้เป็นเส้นทางเดียวที่จะทำให้ชีวิตของเราปลอดภัย ร่มเย็น สงบ สว่าง และสะอาด มีแต่กำไรเพียงฝ่ายเดียวมีแต่บวกไม่มีลบ ทั้งต่อตนเองและผู้อื่นเริ่มต้นจากการที่คุณปฏิบัติตนให้อยู่ในศีลในธรรมกันเลย
๓. รักษาศีล ๕ ปฏิบัติธรรม ๕
ศีล ๕ ข้อเป็นหัวใจของการปฏิบัติธรรมตั้งแต่ก้าวแรกจนเข้าสู่หนทางสูงสุดคือนิพพาน หากไม่มีศีล ๕ อย่างอื่นคงไม่ต้องถามถึง เมื่อมีศีล ๕ แล้วธรรม ๕ ก็จะตามมาโดยอัตโนมัติ จะขอบรรยายเรื่องศีล ๕ เป็นภาษาพูดโดยไม่ขอใช้ภาษาบาลีสันษกฤต เพื่อเป็นที่เข้าใจต่อทุกคนทุกผู้นาม ศีล ๕ มีดังนี้
๑. ละเว้น งด (อย่างเด็ดขาด) การฆ่าสัตว์ กักขังหน่วงเหนี่ยว ทำการทรมาน ประทุษร้ายสัตว์ทั้งหลายรวมทั้งมนุษย์ด้วยกัน
๒. ละเว้น งด (อย่างเด็ดขาด) การลักโขมย หยิบฉวย การเห็นแก่เล็กแก่น้อย รวมทั้งการคดโกงต่างๆ ทั้งที่เป็นสิ่งของที่มีชิวิตและไม่มีชีวิต ของมีค่าหรือไม่มีค่าก็ตามหากเจ้าของไม่ให้ไม่อนุญาต ล้วนผิดศีลข้อ ๒ นี้ทั้งสิ้น
๓. การไม่ประพฤติผิดในกาม ล่วงละเมิดในสามี ภรรยา บุตร ลูกหลานเหลน คนในเรือนชาน ข้าทาสบริวารซึ่งบุคคลเหล่านี้มีผู้ปกครองอยู่ แล้วท่านไปทำการไม่ดีไม่ได้รับการอนุญาตจากผู้ปกครองล้วนผิดศีลข้อนี้ทั้งสิ้น เพราะถือว่าบุคคลเหล่านี้มีผู้ปกครอง มีเจ้าของอยู่
๔. การไม่พูดจาโป้ปดโกหกหลอกลวง พูดส่อเสียด พูดหยาบคาย พูดเพ้อเจ้อ พูดไร้สาระ พูดให้ร้ายผู้อื่นทั้งต่อหน้าและลับหลัง ล้วนผิดทั้งสิ้น
๕. ไม่เสพ-ดื่ม ของมึนเมาเหล้ายาทั้งหลาย ไม่เสพยาเสพติดทุกชนิด ของมอมเมาทุกประเภท ทุกสื่อ ที่ทำให้ลุ่มหลงไปในทางที่ผิด

เมื่อปฏิบัติตามนี้เราลองมาพิจารณาดูจะพบว่าหากปฏิบัติได้อะไรจะเกิดขึ้น แน่นอนสิ่งแรกคือ ตนเองเกิดความสุข สุขภาพแข็งแรง ไม่มีศัตรูผูกอาฆาต อุบัติเหตุเภทภัยไม่เกิด เป็นคนไม่ประมาท และมีมิตรสหายที่ดี อยู่ในสถานที่ดี เป็นบุคคลที่คิดดี พูดดี และทำดี สิ่งอันเป็นมงคลต่างๆจะเข้ามาทำให้สังคมสงบสุขเป็นประโยชน์ต่อชาติศาสนาและสังคม ธรรมชาติจะไม่ถูกทำลายเพราะทุกคนอยู่อย่างมีความเมตตา กรุณาต่อกัน ไม่ติดความละโมบโลภมาก อย่างสังคมที่ฟอนเฟะในปัจจุบันเมื่อมีศีลรักษาเราแล้วต่อไปการปฏิบัติก็ง่ายขึ้นเพราะเราเป็นคนที่มีความละอายเกรงกลัวต่อบาป ละลายใจอยู่เสมอในการที่จะต้องไปทำความชั่วทั้งปวง จิตใจเยือกเย็นไม่รุ่มร้อน และตั้งมั่นต่อการทำความดี เข้าสู่หนทางธรรมที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า ให้มนุษย์ทุกคนมี หิระ โอตัปปะ คือความละอายเกรงกลัวต่อบาป หมั่นสร้างสมความดีให้ยิ่งๆขึ้น ท่านหลวงพ่อพุทธทาส กล่าวไว้ว่า “ศีลธรรมไม่กลับมา โลกาจะวินาศ” คิดว่าหลายท่านคงเคยได้ยินคำนี้มาบ้าง คำๆนี้เป็นสัจจริง เพราะทุกอย่างที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้เนื่องจาก คนขาดความละอาย ขาดศีลธรรม โลกจึงก้าวเดินเข้าสู่เหวลึกเข้าไปทุกวินาที อุบัติเหตุเภทภัยทางธรรมชาติที่ก่อให้เกิดความโศกเศร้าทุกข์ระทมไปทั่วหัวระแหงทั่วโลกก็เพราะ “สมุทัย” คือ เหตุหรือสาเหตุให้เกิดทุกข์ ตัวสมุทัยที่ว่าฝังตัวอยู่ในใจของเรามันคือ ตัวกิเลส ตัณหา อุปปาทาน ในยุคนี้หาคนที่จะละอายต่อบาปนั้นมีน้อยเต็มที แต่ยังมีอีกหลายคนที่พยายามช่วยกันจรรโรงโลกให้สดใสปลอดภัย กับทั้งยังมีอีกหลายฝ่ายที่พยายามเผยแพร่ธรรมะ ทั้งที่เป็นฝ่ายสงฆ์และฝ่ายฆราวาส ตามหน้าที่และบทบาทของตนเองเท่าที่จะช่วยได้ หากทุกคนมุ่งมั่นและมุ่งหมายไปในทางที่ดีเพียงคนละเล็กละน้อยหลายๆคนทั่วโลก คิดว่าการแก้ไขปัญหาต่างๆที่มีอยู่ทุกวันนี้หน้าจะหมดไปหรือลดน้อยลงได้เร็วขึ้นมากขึ้น ก่อนที่จะร่วมกันลำบากร่วมเวรร่วมกรรมกันอย่างเช่นยุคปัจจุบันนี้ เพราะความเห็นแก่ตัวของคนส่วนน้อยนั่นเอง
จากนี้เรามาเริ่มปฏิบัติธรรมกันดูก่อนค่ะ
สิ่งแรก คือ มองลงมาที่ใจของตนเองว่า ณ ขณะนี้จิตใจของเรา เยือกเย็น หรือ รุ่มร้อน หากใจเย็นมันเย็นเพราะอะไร จิตใจรุ่มร้อนมันร้อนด้วยเรื่องอะไร ต้องไม่หรอกตัวเอง ความจริงเท่านั่นที่จะทำให้คุณก้าวล่วงพ้นได้ เมื่อคุณพบความจริงในจิตใจแล้ว ก็ต้องมองลึกลงไปเป็น ขั้นที่สอง ว่าการที่เรามีสุขหรือมีทุกข์อยู่ในขณะนี้นั้นเกิดขึ้นจากอะไร เป็นเพราะความต้องการสิ่งต่างๆ เพื่อมาตอบสนอง กิเลส ตัณหาของตนเองใช่หรือไม่ สิ่งนั้นอาจจะเป็น ข้าวปลาอาหาร แก้วแหวนเงินทอง เคหะบ้านช่อง ชื่อเสียงเกียรติยศ หรือสิ่งอำนวยความสะดวกประดามีนั้น ซึ่งในแต่ละตัวตนมีความต้องการที่ไม่เท่ากันแล้วแต่ฐานะของแต่ละคน ความทะยานอยากที่มีอยู่ในแต่ละคนเป็นสาเหตุสำคัญของความเดือดร้อนวุ่นวายที่มีอยู่ทุกวันนี้ สานต่อเข้ากับการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นซึ่งกันและกันเข้าไปอีกสายหนึ่ง รวมรวบเข้ากับความไม่รู้จักพอเลยกลายเป็นแม่น้ำแห่งกิเลสสายใหญ่ในใจคน ทั้งหมดเป็นเรื่องของกาม(ไม่ได้หมายถึงกามที่บ่งว่าเป็นประเวณี) กามคือความอยาก อยากทุกประเภทนั่นคือกามคุณ แม่น้ำสายกามคุณนี้ ทำให้คนและสัตว์วนเวียนว่ายในวัฏฏะไม่รู้จบ พากันหูหนวก ตาบอด บ้าใบ้ คลั่งไคล้ในเพลิงอารมย์ หลงทาง หาแสงสว่างไม่เจอเหมือนตกอยู่ในอเวจี บางท่านเถียงว่าไม่จริง ฉันมีพร้อมทุกอย่างที่บุคคลหนึ่งจะมีได้ หรือมากกว่าใครๆหลายคนบนโลกใบนี้ด้วยซ้ำไป บุญทานฉันก็ทำจนนับไม่ได้แล้วว่าอะไรบ้าง ฉันไม่เห็นมีทุกข์เลย นั้นก็นับว่าเป็นอานิสงส์ของท่าน แต่ลองมองลงไปให้ลึกอีกสักหน่อยจะพบว่า เรายังมีความกลัวแฝงอยู่ภายในใจ ทำให้จิตใจหวั่นกลัวตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ ความกลัวตาย กลัวแก่ กลัวเจ็บ กลัวความพลัดพราก กลัวไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ กลัวการสูญเสีย กลัวความลำบาก กลัวป่วยไข้ และกลัวเภทภัยทางธรรมชาติ ความกลัวสารพัดชนิดมีอยู่ในจิตใจของคนทุกคน แต่หากท่านได้ปฏิบัติธรรมอย่างถูกต้องและถูกทาง ความกลัวเหล่านั้นก็ไม่สามารถจะทำอันตรายใดๆ กับท่านได้เลย เพราะท่านรู้แล้วว่าทุกสิ่งทุกอย่างย่อมสูญสลายไปในที่สุด หากไม่ต้องการให้สูญ ก็ต้องไม่ทำให้เกิด นั่นคือหัวใจสำคัญในการกำจัดความกลัวโดยสิ้นเชิง เป็นนิรันดร์ เมื่อไม่มีการเกิดก็ไม่มีการตาย ของทุกอย่างในโลกนี้อยู่ภายใต้ กฏบัญญัติแห่ง โลกธรรม ๘ ทั้งสิ้น ทุกอย่างเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วที่สุดล้วนดับไป เมื่อไรที่เป็นสุญญตาเมื่อนั้น ไม่ต้องกลัวต่อสิ่งใดๆในโลกทั้งหมด พระพุทธเจ้าท่านได้ศึกษาอย่างจริงจังและค้นพบเรื่องนี้ และทรงโปรดให้ความกรุณานำมาตรัสสอนเผยแผ่ไปให้ไพศาล ก้อมีแต่เฉพาะเรื่องนี้เท่านั้นเรื่องของ “สุญญตา” เรื่องอื่นล้วนไม่ใช่สาระ ใบไม้ในกำมือของท่านมีเท่านี้เอง มีเท่านี้จริงๆ หากท่านใดเข้าใจและปฏิบัติตามได้ นิพพานก็ไม่ใช่สิ่งไกลตัว แต่เกือบทุกคนไม่เข้า หรือเข้าใจบ้างเป็นบางครั้งเพราะยังเป็นปุถุชนอยู่จึงทำได้ยาก ดังนั้นมันก็ไม่ได้หมายถึงทำไม่ได้เลย เพียงแต่มันทำยาก ก็ต้องเร่งทำ เร่งขัดเกลา เร่งปฏิบัติตรวจดูใจเราว่า สิ่งใดเกิดขึ้น สิ่งใดตั้งอยู่ สิ่งใดดับไป ไว้ติดตามการปฏิบัติธรรมขั้นที่ 3 ในตอนหน้าค่ะ

ทุกชีวิตรักที่จะพบความสงบเย็น เหตุไฉนจึงวิ่งเข้าหาไฟนรกกันทุกลมหายใจ
เสียงคร่ำครวญจากการถูกแผดเผา ฟังคล้ายเสียงหัวเราะชอบใจของคนในปัจจุบันจนแยกไม่ออก

เกษแก้ว ศรัทธาโพธิธรรม

อาจารย์ใหญ่สอนธรรมะอยู่ที่ไหน (ตอนที่ ๑)

อาจารย์ใหญ่สอนธรรมะอยู่ที่ไหน (ตอนที่ ๑)

นิพพานอยู่ไหน ใครๆ ก็ถามหานิพพาน บางท่านบอกไม่หรอกเราแค่อยากได้ความสงบเท่านั้น ความสงบเย็นของชีวิตมีบ้างไม๊ ชีวิตแบบที่ยังมีลมหายใจอยู่น่ะไม่ต้องตายก่อนแล้วค่อยสงบ!บ้างก็ว่าขอให้เรามีเงินทองมากที่สุดนั่นแหละชีวิตของเราก็จะสงบได้เพราะมีทุกอย่างที่เราต้องการเรียกว่า“ทุกอย่างซื้อได้ด้วยเงิน”เปรียบเงินเป็นดั่งแก้วสารพัดนึกกันเลยทีเดียวเชียว และบ้างก็ยังเคยได้ยินว่า“อำนาจของเงินสามารถเปิดประตูสวรรค์และปิดประตูนรกได้” ดังนั้นค่านิยมในยุคนี้จึงเต็มไปด้วยผู้คนที่ทำประโยชน์เพื่อหวังผลทั้งสิ้นและบูชาเงินเป็นพระเจ้า แต่ถ้าคิดให้ดีมันก็สมเหตุสมผลอยู่เหมือนกัน เพราะทุกอย่างในโลกนี้ต้องซื้อขายด้วยเงินไม่มีอะไรได้มาฟรีๆไม่มีจริงๆ คุณธรรมเกือบเป็นเรื่องสุดท้ายที่คนคิดถึง ไม่มีแล้วที่ว่าใครจะมอบความรัก เมตตา กรุณา ปราณีอย่างบริสุทธิ์ใจให้กับใครได้ มีคนกล่าววา “เลี้ยงหมาดีกว่าเลี้ยงคนเพราะหมามันซื่อสัตย์ ไม่กัดเจ้าของ” หมามันมีคุณธรรมมากกว่าคนและมีความจงรักภักดีอีกด้วย เรียกว่า หมายังรู้จักบุญคุณคนนั่นเอง ฟังแล้วรู้สึกให้อายหมาชอบกลอยู่เหมือนกัน สมัยก่อนโบราณกล่าวว่า“รกคนดีกว่ารกหญ้า” แต่ปัจจุบันสุภาสิตนี้คงนำมาใช้ไม่ได้เพราะ คนมันใจคอดุร้ายฆ่าแกงกันได้ง่ายๆหาความซื่อสัตย์ความจริงใจยากเหลือทน เหมือนที่เห็นกันในข่าว โทรทัศน์วิทยุและหนังสือพิมพ์กันทุกวัน ไม่ว่าคนนั้นจะหน้าเหมือน พ่อ-แม่หรือลูกในไส้ของตัวเองหรือไม่ก็ตามมันฆ่าได้หมด! คงจะถึงยุคคนดีหนีเข้าป่า ผีห่าเดินเข้าเมืองกันแล้วกระมัง
เราหันมาคุยกันใหม่ดีกว่า ว่าเราจะนำเอาธรรมะมาเป็นเครื่องล้างความสกปรกทางใจได้อย่างไร พอกล่าวเช่นนี้ก็ขอบอกก่อนว่า “อย่าเพิ่งคิดจะไปล้างใจคนอื่นเลย มาล้างใจตัวเองนี่แหละให้ดีก่อน” เริ่มต้นเดี๋ยวนี้เลยก็แล้วกัน
โอม มณี เปมา ฮูง โอม มณี เปมา ฮูง โอม มณี เปมา ฮูง / นำโม อามี ทอ ฝอ ฮุก
อาจารย์ใหญ่อยู่ที่ไหน เกริ่นไว้เป็นหัวข้อให้ช่วยกันคิด อาจารย์ใหญ่คือใคร หน้าตาเป็นอย่างไร สูงต่ำ ดำขาว ใจดีใจร้าย อายุสักเท่าไร เป็นหญิงหรือชาย และเป็นอาจารย์ใหญ่ฝ่ายไหน แล้วท่านสอนวิชาอะไรนั่นสิเกริ่นไว้ลอยๆน่าสงสัยจริงความจริงจุดประสงค์ของผู้เขียนเพียงมุ่งหวังให้ท่านมาลงทะเบียนเรียนที่สถาบันของอาจารย์ใหญ่แห่งชีวิต วิชาการดำเนินชีวิตเป็นวิชาเอกที่ต้องเรียนรู้เป็นอย่างยิ่งมากกว่าวิชาใดๆในโลกนี้ทั้งหมด เป็นวิชาหลักของโลกและจักรวาล เหมือนดังแกนโลกเลยทีเดียว ทุกคนที่เกิดมาต่างใฝ่หาวิชาความรู้ใส่ตัวกันมากมาย เพื่อที่จะได้นำมาทำประโยชน์แก่ตนและสังคม (บางคนก็คิดประโยชน์เพียงเพื่อตนเองเท่านั้น) ได้รับประกาศนียบัตรบ้าง ปริญญาบัตรบ้าง ทั้ง ตรี โท และปริญญาเอก แต่หลายครั้งที่เราเห็นคนที่มากด้วยความสามารถ พรั่งพร้อมด้วยเงินทอง ข้าทาสบริวาล กินใช้เท่าไรก็ไม่หมดและเป็นบุคคลมีหน้าตาในสังคม มีโอกาสที่จะทำอะไรได้มากกว่าคนอื่นในโลกนี้อีกมากมาย กลับกลายเป็นคนโดดเดี่ยว อ้างว้าง และบ้างก็ถึงขนาดทำร้ายตัวเองด้วยการฆ่าตัวตายไปก็มี ที่ร้ายกว่านั้นทำร้ายคนที่ตนรัก เช่น สามี ภรรยา บุตร หรือบิดามารดา และญาติพี่น้องที่ร่วมอุทรกันมานั่นก็หลายรายทีเดียว ทำไมบุคคลเหล่านี้จึงคิดและกระทำการอันโหดร้ายเช่นนั้น แต่ก็อีกหลายคนที่ยากจนข้นแค้นถูกสถานะการณ์รอบข้างบังคับให้ต้องทำลงไปเพราะอะไรลองคิดดูความหยาบกระด้างในกมลสันดานมีมากขึ้นและถ่ายทอดไปสู่เยาวชนรุ่นหลังอย่างไม่รู้ตัว พอถึงวันหนึ่งก็มานั่งโอดครวญว่าทำไม บุตรลูกหลานจึงทอดทิ้ง นั่นเป็นเพราะบาปกรรมตามสนองใช่หรือไม่ หรือเป็นเพราะการบ่มเพาะอุปนิสัยอันหยาบกระด้าง ให้กับเขาผู้เป็ลูกหลานของตนด้วยตัวเราเองในกาลปัจจุบันโปรดพิจารณาให้ถี่ถ้วน
ในพระพุทธศาสนา เน้นหนักเรื่องของกฏแห่งกรรม ทำดีได้ดีจริง ทำชั่วได้ช่วยจริง ไม่มีการล้างบาปกันได้ กรรมทุกประเภทต้องได้รับการชดใช้ตามเหตุ แต่สามารถให้เป็นอโหสิกรรมได้ และสามารถที่จะให้กรรมทุเลาเบาบางได้ หากผู้ก่อกรรมนั้นสำนึกผิดและไม่ทำกรรมดำนั้นอีก และรวมถึงการสร้างกรรมขาวขึ้นใหม่ให้มากพอ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาเดียวในโลกที่กล่าวเช่นนี้ และยืนยันเช่นนี้มาตลอด ๒,๕๐๐ กว่าปีแห่งพุทธกาล สิ่งสำคัญ พระพุทธเจ้าท่านยืนยันว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง แม้แต่พระองค์เองซึ่งก่อนที่จะสำเร็จเป็นองค์พระบรมศาสดาของโลก พระองค์ยังต้องอยู่ภายใต้กฏแห่งกรรมเช่นกัน รวมทั้งประวัติของพระพุทธสาวกหลายๆองค์ตามที่เราเคยได้ศึกษาประวัติของท่านทั้งหลายเหล่านั้น หลังจากที่องค์สมเด็จพระสมณโคดมได้สำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วจึงอยู่เหนือกฏกรรมทั้งปวงโดยสิ้นเชิง และเสด็จเข้าสู่พระนิพพานหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดนั่นเอง
อาจารย์ใหญ่สอนธรรมะอยู่ไหน ลองมาคิดกันดูว่าเมื่อประมาณ ๒,๕๐๐ กว่าปีที่ผ่านมา มีศาสนาโบราณเกิดขึ้นหลายลัทธิหลายความเชื่อและหลายเผ่าพันธุ์ แต่ละสัทธิได้บัญญัติพระธรรมคำสอนของศาสนาของตนไว้มากมาย เช่น เรื่องการดลบันดาลด้วยฤทธิ์เดชของเทพเจ้า เทวดาต่างๆ หลายองค์ทั้งของฮินดู และของฝรั่ง จีน อียิปต์ ฯลฯ พวกสาวกผู้นับถือสัทธิเทวะต้องทำให้เทพเจ้าพอใจหากว่าทำให้ท่านไม่พอใจก็จะถูกลงโทษ ถูกกลั่นแกล้งจนกว่าจะเชื่อในอิทธิปาฏิหารย์และบารมีของท่าน ส่วนการที่เราจะติดต่อกับเทพเจ้าได้ก็ต้องมีคนกลาง คือ ท่านพราห์ม พ่อมด แม่มดเท่านั้น หรือบางครั้งก็เป็นพวกร่างทรงบุคคลที่มีความพิเศษในเรื่องการสัมผัสทางจิตวิญญาณ (ควรใช้วิจารณะญาน)คนธรรมดาสามัญต่ำต้อยเกินไม่มีสิทธิไปติดต่อกับเทพเจ้าได้ เขาว่าอย่างนั้น และยังต้องมีเครื่องเซ่นบูชาสิ่งสังเวยต่างๆ ทั้งที่เป็นของกินของใช้และหรือเงินทอง ตลอดถึงบางครั้งต้องมีการบูชายัญกันด้วยชีวิต บ้างก็เป็นชีวิตสัตว์ บ้างก็เป็นชีวิตคน ที่น่าเศร้ากว่านั้นคือสังเวยกันด้วยเด็กสาวพรมจรรย์(ก็ไม่รู้ว่าบูชาเทพหรือบูชาตัวผู้มีสิทธิพิเศษผู้นั้นกันแน่ เพื่อให้เป็นที่พอใจขององค์เทพลองไปค้นคว้าเรื่องราวต่างๆนี้ดูแล้วจะทราบบาปกรรมจริงๆ) ความเชื่อเหล่านี้ยากแก่การพิสูจน์ เป็นเรื่องที่กระทำติดต่อกันมานานแสนนานหลายๆพันปี ถึงปัจจุบันก็ยังมีอยู่ทั้งในทวีปเอเซียและประเทศที่อ้างว่าตนเจริญแล้วอย่างประเทศสหรัฐอเมริการวมถึงแถบยุโรปก็ยังมี ส่วนประเทศที่ยังไม่เจริญ (เขาเรียกกันอย่างนั้นได้ยินแค่นี้ก็รู้แล้วว่าการแบ่งชนชั้นวรรณะยังอยู่คู่โลกตลอดมาและก็คงจะอยู่ตลอดไป) ความเชื่อในเรื่องผีสาง เทวดา พ่อมด แม่มด และลูกมดก็ยังมีอยู่ไม่ได้หายไปไหนเป็นมรดกสืบทอดรุ่นสู่รุ่นทั้งที่พูดว่าไม่มีแล้วทุกคนเกิดมาเสมอภาคกัน การค้าทาสก็ยังมีอยู่เพียงแต่ไม่ได้กระทำอย่างเปิดเผยเหมือนสมัยก่อน พูดถึงตอนนี้ ก็หันมาหาอาจาย์ใหญ่สอนธรรมะกันต่อดีกว่า ...

เกษแก้ว ศรัทธาโพธิธรรม