วันเสาร์ที่ ๑๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

อาจารย์ใหญ่สอนธรรมะอยู่ที่ไหน (ตอนที่ ๑)

อาจารย์ใหญ่สอนธรรมะอยู่ที่ไหน (ตอนที่ ๑)

นิพพานอยู่ไหน ใครๆ ก็ถามหานิพพาน บางท่านบอกไม่หรอกเราแค่อยากได้ความสงบเท่านั้น ความสงบเย็นของชีวิตมีบ้างไม๊ ชีวิตแบบที่ยังมีลมหายใจอยู่น่ะไม่ต้องตายก่อนแล้วค่อยสงบ!บ้างก็ว่าขอให้เรามีเงินทองมากที่สุดนั่นแหละชีวิตของเราก็จะสงบได้เพราะมีทุกอย่างที่เราต้องการเรียกว่า“ทุกอย่างซื้อได้ด้วยเงิน”เปรียบเงินเป็นดั่งแก้วสารพัดนึกกันเลยทีเดียวเชียว และบ้างก็ยังเคยได้ยินว่า“อำนาจของเงินสามารถเปิดประตูสวรรค์และปิดประตูนรกได้” ดังนั้นค่านิยมในยุคนี้จึงเต็มไปด้วยผู้คนที่ทำประโยชน์เพื่อหวังผลทั้งสิ้นและบูชาเงินเป็นพระเจ้า แต่ถ้าคิดให้ดีมันก็สมเหตุสมผลอยู่เหมือนกัน เพราะทุกอย่างในโลกนี้ต้องซื้อขายด้วยเงินไม่มีอะไรได้มาฟรีๆไม่มีจริงๆ คุณธรรมเกือบเป็นเรื่องสุดท้ายที่คนคิดถึง ไม่มีแล้วที่ว่าใครจะมอบความรัก เมตตา กรุณา ปราณีอย่างบริสุทธิ์ใจให้กับใครได้ มีคนกล่าววา “เลี้ยงหมาดีกว่าเลี้ยงคนเพราะหมามันซื่อสัตย์ ไม่กัดเจ้าของ” หมามันมีคุณธรรมมากกว่าคนและมีความจงรักภักดีอีกด้วย เรียกว่า หมายังรู้จักบุญคุณคนนั่นเอง ฟังแล้วรู้สึกให้อายหมาชอบกลอยู่เหมือนกัน สมัยก่อนโบราณกล่าวว่า“รกคนดีกว่ารกหญ้า” แต่ปัจจุบันสุภาสิตนี้คงนำมาใช้ไม่ได้เพราะ คนมันใจคอดุร้ายฆ่าแกงกันได้ง่ายๆหาความซื่อสัตย์ความจริงใจยากเหลือทน เหมือนที่เห็นกันในข่าว โทรทัศน์วิทยุและหนังสือพิมพ์กันทุกวัน ไม่ว่าคนนั้นจะหน้าเหมือน พ่อ-แม่หรือลูกในไส้ของตัวเองหรือไม่ก็ตามมันฆ่าได้หมด! คงจะถึงยุคคนดีหนีเข้าป่า ผีห่าเดินเข้าเมืองกันแล้วกระมัง
เราหันมาคุยกันใหม่ดีกว่า ว่าเราจะนำเอาธรรมะมาเป็นเครื่องล้างความสกปรกทางใจได้อย่างไร พอกล่าวเช่นนี้ก็ขอบอกก่อนว่า “อย่าเพิ่งคิดจะไปล้างใจคนอื่นเลย มาล้างใจตัวเองนี่แหละให้ดีก่อน” เริ่มต้นเดี๋ยวนี้เลยก็แล้วกัน
โอม มณี เปมา ฮูง โอม มณี เปมา ฮูง โอม มณี เปมา ฮูง / นำโม อามี ทอ ฝอ ฮุก
อาจารย์ใหญ่อยู่ที่ไหน เกริ่นไว้เป็นหัวข้อให้ช่วยกันคิด อาจารย์ใหญ่คือใคร หน้าตาเป็นอย่างไร สูงต่ำ ดำขาว ใจดีใจร้าย อายุสักเท่าไร เป็นหญิงหรือชาย และเป็นอาจารย์ใหญ่ฝ่ายไหน แล้วท่านสอนวิชาอะไรนั่นสิเกริ่นไว้ลอยๆน่าสงสัยจริงความจริงจุดประสงค์ของผู้เขียนเพียงมุ่งหวังให้ท่านมาลงทะเบียนเรียนที่สถาบันของอาจารย์ใหญ่แห่งชีวิต วิชาการดำเนินชีวิตเป็นวิชาเอกที่ต้องเรียนรู้เป็นอย่างยิ่งมากกว่าวิชาใดๆในโลกนี้ทั้งหมด เป็นวิชาหลักของโลกและจักรวาล เหมือนดังแกนโลกเลยทีเดียว ทุกคนที่เกิดมาต่างใฝ่หาวิชาความรู้ใส่ตัวกันมากมาย เพื่อที่จะได้นำมาทำประโยชน์แก่ตนและสังคม (บางคนก็คิดประโยชน์เพียงเพื่อตนเองเท่านั้น) ได้รับประกาศนียบัตรบ้าง ปริญญาบัตรบ้าง ทั้ง ตรี โท และปริญญาเอก แต่หลายครั้งที่เราเห็นคนที่มากด้วยความสามารถ พรั่งพร้อมด้วยเงินทอง ข้าทาสบริวาล กินใช้เท่าไรก็ไม่หมดและเป็นบุคคลมีหน้าตาในสังคม มีโอกาสที่จะทำอะไรได้มากกว่าคนอื่นในโลกนี้อีกมากมาย กลับกลายเป็นคนโดดเดี่ยว อ้างว้าง และบ้างก็ถึงขนาดทำร้ายตัวเองด้วยการฆ่าตัวตายไปก็มี ที่ร้ายกว่านั้นทำร้ายคนที่ตนรัก เช่น สามี ภรรยา บุตร หรือบิดามารดา และญาติพี่น้องที่ร่วมอุทรกันมานั่นก็หลายรายทีเดียว ทำไมบุคคลเหล่านี้จึงคิดและกระทำการอันโหดร้ายเช่นนั้น แต่ก็อีกหลายคนที่ยากจนข้นแค้นถูกสถานะการณ์รอบข้างบังคับให้ต้องทำลงไปเพราะอะไรลองคิดดูความหยาบกระด้างในกมลสันดานมีมากขึ้นและถ่ายทอดไปสู่เยาวชนรุ่นหลังอย่างไม่รู้ตัว พอถึงวันหนึ่งก็มานั่งโอดครวญว่าทำไม บุตรลูกหลานจึงทอดทิ้ง นั่นเป็นเพราะบาปกรรมตามสนองใช่หรือไม่ หรือเป็นเพราะการบ่มเพาะอุปนิสัยอันหยาบกระด้าง ให้กับเขาผู้เป็ลูกหลานของตนด้วยตัวเราเองในกาลปัจจุบันโปรดพิจารณาให้ถี่ถ้วน
ในพระพุทธศาสนา เน้นหนักเรื่องของกฏแห่งกรรม ทำดีได้ดีจริง ทำชั่วได้ช่วยจริง ไม่มีการล้างบาปกันได้ กรรมทุกประเภทต้องได้รับการชดใช้ตามเหตุ แต่สามารถให้เป็นอโหสิกรรมได้ และสามารถที่จะให้กรรมทุเลาเบาบางได้ หากผู้ก่อกรรมนั้นสำนึกผิดและไม่ทำกรรมดำนั้นอีก และรวมถึงการสร้างกรรมขาวขึ้นใหม่ให้มากพอ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาเดียวในโลกที่กล่าวเช่นนี้ และยืนยันเช่นนี้มาตลอด ๒,๕๐๐ กว่าปีแห่งพุทธกาล สิ่งสำคัญ พระพุทธเจ้าท่านยืนยันว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง แม้แต่พระองค์เองซึ่งก่อนที่จะสำเร็จเป็นองค์พระบรมศาสดาของโลก พระองค์ยังต้องอยู่ภายใต้กฏแห่งกรรมเช่นกัน รวมทั้งประวัติของพระพุทธสาวกหลายๆองค์ตามที่เราเคยได้ศึกษาประวัติของท่านทั้งหลายเหล่านั้น หลังจากที่องค์สมเด็จพระสมณโคดมได้สำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วจึงอยู่เหนือกฏกรรมทั้งปวงโดยสิ้นเชิง และเสด็จเข้าสู่พระนิพพานหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดนั่นเอง
อาจารย์ใหญ่สอนธรรมะอยู่ไหน ลองมาคิดกันดูว่าเมื่อประมาณ ๒,๕๐๐ กว่าปีที่ผ่านมา มีศาสนาโบราณเกิดขึ้นหลายลัทธิหลายความเชื่อและหลายเผ่าพันธุ์ แต่ละสัทธิได้บัญญัติพระธรรมคำสอนของศาสนาของตนไว้มากมาย เช่น เรื่องการดลบันดาลด้วยฤทธิ์เดชของเทพเจ้า เทวดาต่างๆ หลายองค์ทั้งของฮินดู และของฝรั่ง จีน อียิปต์ ฯลฯ พวกสาวกผู้นับถือสัทธิเทวะต้องทำให้เทพเจ้าพอใจหากว่าทำให้ท่านไม่พอใจก็จะถูกลงโทษ ถูกกลั่นแกล้งจนกว่าจะเชื่อในอิทธิปาฏิหารย์และบารมีของท่าน ส่วนการที่เราจะติดต่อกับเทพเจ้าได้ก็ต้องมีคนกลาง คือ ท่านพราห์ม พ่อมด แม่มดเท่านั้น หรือบางครั้งก็เป็นพวกร่างทรงบุคคลที่มีความพิเศษในเรื่องการสัมผัสทางจิตวิญญาณ (ควรใช้วิจารณะญาน)คนธรรมดาสามัญต่ำต้อยเกินไม่มีสิทธิไปติดต่อกับเทพเจ้าได้ เขาว่าอย่างนั้น และยังต้องมีเครื่องเซ่นบูชาสิ่งสังเวยต่างๆ ทั้งที่เป็นของกินของใช้และหรือเงินทอง ตลอดถึงบางครั้งต้องมีการบูชายัญกันด้วยชีวิต บ้างก็เป็นชีวิตสัตว์ บ้างก็เป็นชีวิตคน ที่น่าเศร้ากว่านั้นคือสังเวยกันด้วยเด็กสาวพรมจรรย์(ก็ไม่รู้ว่าบูชาเทพหรือบูชาตัวผู้มีสิทธิพิเศษผู้นั้นกันแน่ เพื่อให้เป็นที่พอใจขององค์เทพลองไปค้นคว้าเรื่องราวต่างๆนี้ดูแล้วจะทราบบาปกรรมจริงๆ) ความเชื่อเหล่านี้ยากแก่การพิสูจน์ เป็นเรื่องที่กระทำติดต่อกันมานานแสนนานหลายๆพันปี ถึงปัจจุบันก็ยังมีอยู่ทั้งในทวีปเอเซียและประเทศที่อ้างว่าตนเจริญแล้วอย่างประเทศสหรัฐอเมริการวมถึงแถบยุโรปก็ยังมี ส่วนประเทศที่ยังไม่เจริญ (เขาเรียกกันอย่างนั้นได้ยินแค่นี้ก็รู้แล้วว่าการแบ่งชนชั้นวรรณะยังอยู่คู่โลกตลอดมาและก็คงจะอยู่ตลอดไป) ความเชื่อในเรื่องผีสาง เทวดา พ่อมด แม่มด และลูกมดก็ยังมีอยู่ไม่ได้หายไปไหนเป็นมรดกสืบทอดรุ่นสู่รุ่นทั้งที่พูดว่าไม่มีแล้วทุกคนเกิดมาเสมอภาคกัน การค้าทาสก็ยังมีอยู่เพียงแต่ไม่ได้กระทำอย่างเปิดเผยเหมือนสมัยก่อน พูดถึงตอนนี้ ก็หันมาหาอาจาย์ใหญ่สอนธรรมะกันต่อดีกว่า ...

เกษแก้ว ศรัทธาโพธิธรรม

ไม่มีความคิดเห็น: