วันเสาร์ที่ ๑๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

อาจารย์ใหญ่สอนธรรมะอยู่ที่ไหน (ตอนที่ ๒)

อาจารย์ใหญ่สอนธรรมะอยู่ที่ไหน (ตอนที่ ๒)
ผู้ที่พบอาจารย์ใหญ่เป็นคนแรกนั้นก็คือ เจ้าชายสิทธัตถะ ท่านได้ลงทะเบียนเรียนวิชาชีวิตกับอาจารย์ใหญ่เป็นองค์แรกของโลก ในวันที่ท่านได้เสด็จออกประพาสต้น พระองค์ท่านได้พบกับ ๔ พระธรรมฑูต นั้นเอง เมื่อท่านพบพระธรรมฑูตทั้งสี่แล้ว ท่านจึงรู้ว่ายังมีอีกวิชาหนึ่งที่ต้องศึกษาให้ได้ และเป็นวิชาเอกของโลก นั่นคือ วิชาชีวิต เอกสาขา การก้าวล่วงพ้นจากกองทุกข์ (ท่านที่ศึกษาพระพุทธศาสนาหรือผู้ที่นับถือศาสนาพุทธคงเข้าใจเรื่องนี้ดี) ตั้งแต่วันนั้นมาเจ้าชายสิทธัตถะก็รู้พระองค์แล้วว่าวิชานี้เป็นวิชาที่ประเสริฐที่สุด สูงสุดที่สุด พระองค์ท่านยอมสละทุกอย่างไม่ว่าจะเป็น ยศศักดิ์ สมบัติพัสถาน ภรรยาและบุตรสุดที่รัก ความสุขความสบายทั้งปวง อย่าลืมว่าพระองค์ท่านมีฐาดันดรถึงหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์ เหนือกว่าคนธรรมดาทั่วไปมากมาย ขนาดคนทั่วไปมีทรัพย์อยู่แค่กระแบะมือยังตัดได้ยาก แต่สำหรับพระองค์ท่านแล้วท่านสละได้เด็ดขาดจริงๆ เพื่อแสวงหาความรู้นี้ให้แจ้งให้จงได้เพื่อตนเองและเพื่อโลก เพื่อมนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งหลาย แม้ต้องแลกด้วยชีวิต เปรียบได้ว่าในขณะนั้นท่านเป็นดั่งเช่น พระโพธิสัตว์ปราถนาจะช่วยให้สัตว์ทั้งหลายพ้นจากกองทุกข์ทั้งมวล เจ้าชายสิทธัตถะทรงเสียสละราชบัลลังค์เพื่อก้าวสู่โพธิบัลลังค์เป็นการต่อไปพระองค์ทรงศึกษาค้นคว้าวิธีการต่างๆ กับหลายอาจารย์ในสาขาวิชาต่างๆ ที่อ้างว่าสามารถทำให้ชีวิตพ้นจากกองทุกข์ได้ ในที่สุด เจ้าชายสิทธัตถะก็ได้พบพระอาจารย์ใหญ่ด้วยตัวของพระองค์เอง และทรงประกาศพระศาสนา เกิดเป็นศาสนาพุทธ เจ้าชายสิทธัตถะจึงเป็น พระพุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน นั่นคือ องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า พระสัมมาสัมพุทธะเจ้า องค์พระศาสดาของโลก อ่านมาถึงตรงนี้ ท่านพอทราบแล้วหรือยังว่า พระอาจารย์ใหญ่สอนธรรมะอยู่ที่ไหน ใครหาเจอบ้าง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านหาเจอเป็นพระองค์แรกของโลก ซึ่งอยู่ในพระวรกายของพระองค์เอง ใครอยากพบพระอาจารย์ใหญ่สอนธรรมะในสาขา “วิชาการก้าวล่วงพ้นจากกองทุกข์” บ้าง
๑. ระเบียบการสมัครเรียน วิชาก้าวล่วงพ้นจากกองทุกข์ มีดังนี้
สิ่งที่ต้องนำมา

- ใจ ใจที่สะอาด บริสุทธิ์ ใจที่อ่อนโยน แต่ไม่อ่อนแอ
- กาย กายที่สะอาดบริสุทธิ์พร้อมจะสละความเคยชินที่มากด้วยกิเลส ตัณหา อุปปาทาน กายที่พร้อมจะสู้อย่างไม่ย่อท้อ อดทนและอดกลั้น
- ศรัทธา ต้องเป็นศรัทธาจริงไม่ง่อนแง่นคลอนแคลน พร้อมที่จะก้าวเดินไปให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์เพื่อก้าวล่วงพ้นจากกองทุกข์
- รักที่จะทำความดี ความรักที่มีต่อพระพุทธศาสนาและรักตนเอง อยากเห็นตนเองและผู้อื่นพ้นจากห้วงแห่งกองทุกข์ อย่างสงบเย็น
- ความอ่อนน้อมถ่อมตน ยอมเป็นผู้ว่าง่ายไม่แข็งกระด้าง ไม่ทำตัวเป็นน้ำที่เต็มแก้วอีกต่อไป และพร้อมที่จะเคารพในพระธรรม ปฏิบัติตามพระธรรม เห็นพระธรรมเป็นสิ่งที่สูงที่สุด ดังที่พระพุทธสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า “ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา” เมื่อครั้งที่พระพุทธองค์ใกล้จะเสด็จเข้าสู่พระปรินิพพาน
๕ สิ่งที่ต้องมีขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดไปไม่ได้เลย “รวมทั้งหมดให้ได้เป็นหนึ่งเดียว จะเกิดเป็นสติและนำไปสู่ จิต เป็นที่หมายสูงสุด”
เท่านี้แหละที่ทุกคนต้องมี ไม่ต้องนำอะไรมาเพิ่มเติม ไม่ต้องใช้เงินทองหรือข้าวของใดๆ มาลงทะเบียนทั้งสิ้น จากนี้ก็เริ่มเรียนได้
๒. นับจากนี้ขอให้ท่านปฏิบัติตามคือ กราบพระ ๓ ครั้ง
ก่อนที่จะกราบพระขอให้ท่านทำใจให้สงบก่อนและระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย พิจาระณาถึงสิ่งที่ท่านมีว่าครบ ๕ สิ่งข้างต้นหรือไม่ทุกครั้ง ถ้าไม่ครบให้ตั้งจิตใหม่ พร้อมแล้วกราบ
กราบครั้งที่หนึ่ง กล่าวว่า พุทโธ เมนา โถ พระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งที่ระลึกของข้าพเจ้า
กราบครั้งที่สอง กล่าวว่า ธัมโม เมนา โถ พระธรรมเจ้าเป็นที่พึ่งที่ระลึกของข้าพเจ้า
กราบครั้งที่สาม กล่าวว่า สังโฆ เมนา โถ พระสงฆเจ้าเป็นที่พึ่งที่ระลึกของข้าพเจ้า

การปฏิบัติธรรมเริ่มต้นที่ใจก่อน ใจเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุด แล้วตามด้วยกายเป็นกำลังที่สอง เพิ่มด้วยกำลังวิเศษ คือความศรัทธา สามกำลังใหญ่รวมเป็นพลังธรรม ก่อให้เกิดการปฏิบัติธรรมต่อไป เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้วขอให้พิจาระณาว่าขณะนี้เราต้องการอะไรจากการปฏิบัติธรรม
ส่วนมากการเริ่มต้นการปฏิบัติธรรมของแต่คนไม่เหมือนกัน จะเป็นเพราะเกิดปัญหาชีวิตต่างๆที่เข้ามารุมเร้าจนหมดกำลังใจ หรือเพราะเกิดความต้องการปฏิบัติธรรมเพื่อก้าวล่วงพ้นจากกองทุกข์ รู้แจ้งแทงตลอดธรรมก็ตาม นั่นหมายถึงคุณเดินถูกทางแล้วด้วยทุกเหตุผล เพราะหนทางธรรมนี้เป็นเส้นทางเดียวที่จะทำให้ชีวิตของเราปลอดภัย ร่มเย็น สงบ สว่าง และสะอาด มีแต่กำไรเพียงฝ่ายเดียวมีแต่บวกไม่มีลบ ทั้งต่อตนเองและผู้อื่นเริ่มต้นจากการที่คุณปฏิบัติตนให้อยู่ในศีลในธรรมกันเลย
๓. รักษาศีล ๕ ปฏิบัติธรรม ๕
ศีล ๕ ข้อเป็นหัวใจของการปฏิบัติธรรมตั้งแต่ก้าวแรกจนเข้าสู่หนทางสูงสุดคือนิพพาน หากไม่มีศีล ๕ อย่างอื่นคงไม่ต้องถามถึง เมื่อมีศีล ๕ แล้วธรรม ๕ ก็จะตามมาโดยอัตโนมัติ จะขอบรรยายเรื่องศีล ๕ เป็นภาษาพูดโดยไม่ขอใช้ภาษาบาลีสันษกฤต เพื่อเป็นที่เข้าใจต่อทุกคนทุกผู้นาม ศีล ๕ มีดังนี้
๑. ละเว้น งด (อย่างเด็ดขาด) การฆ่าสัตว์ กักขังหน่วงเหนี่ยว ทำการทรมาน ประทุษร้ายสัตว์ทั้งหลายรวมทั้งมนุษย์ด้วยกัน
๒. ละเว้น งด (อย่างเด็ดขาด) การลักโขมย หยิบฉวย การเห็นแก่เล็กแก่น้อย รวมทั้งการคดโกงต่างๆ ทั้งที่เป็นสิ่งของที่มีชิวิตและไม่มีชีวิต ของมีค่าหรือไม่มีค่าก็ตามหากเจ้าของไม่ให้ไม่อนุญาต ล้วนผิดศีลข้อ ๒ นี้ทั้งสิ้น
๓. การไม่ประพฤติผิดในกาม ล่วงละเมิดในสามี ภรรยา บุตร ลูกหลานเหลน คนในเรือนชาน ข้าทาสบริวารซึ่งบุคคลเหล่านี้มีผู้ปกครองอยู่ แล้วท่านไปทำการไม่ดีไม่ได้รับการอนุญาตจากผู้ปกครองล้วนผิดศีลข้อนี้ทั้งสิ้น เพราะถือว่าบุคคลเหล่านี้มีผู้ปกครอง มีเจ้าของอยู่
๔. การไม่พูดจาโป้ปดโกหกหลอกลวง พูดส่อเสียด พูดหยาบคาย พูดเพ้อเจ้อ พูดไร้สาระ พูดให้ร้ายผู้อื่นทั้งต่อหน้าและลับหลัง ล้วนผิดทั้งสิ้น
๕. ไม่เสพ-ดื่ม ของมึนเมาเหล้ายาทั้งหลาย ไม่เสพยาเสพติดทุกชนิด ของมอมเมาทุกประเภท ทุกสื่อ ที่ทำให้ลุ่มหลงไปในทางที่ผิด

เมื่อปฏิบัติตามนี้เราลองมาพิจารณาดูจะพบว่าหากปฏิบัติได้อะไรจะเกิดขึ้น แน่นอนสิ่งแรกคือ ตนเองเกิดความสุข สุขภาพแข็งแรง ไม่มีศัตรูผูกอาฆาต อุบัติเหตุเภทภัยไม่เกิด เป็นคนไม่ประมาท และมีมิตรสหายที่ดี อยู่ในสถานที่ดี เป็นบุคคลที่คิดดี พูดดี และทำดี สิ่งอันเป็นมงคลต่างๆจะเข้ามาทำให้สังคมสงบสุขเป็นประโยชน์ต่อชาติศาสนาและสังคม ธรรมชาติจะไม่ถูกทำลายเพราะทุกคนอยู่อย่างมีความเมตตา กรุณาต่อกัน ไม่ติดความละโมบโลภมาก อย่างสังคมที่ฟอนเฟะในปัจจุบันเมื่อมีศีลรักษาเราแล้วต่อไปการปฏิบัติก็ง่ายขึ้นเพราะเราเป็นคนที่มีความละอายเกรงกลัวต่อบาป ละลายใจอยู่เสมอในการที่จะต้องไปทำความชั่วทั้งปวง จิตใจเยือกเย็นไม่รุ่มร้อน และตั้งมั่นต่อการทำความดี เข้าสู่หนทางธรรมที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า ให้มนุษย์ทุกคนมี หิระ โอตัปปะ คือความละอายเกรงกลัวต่อบาป หมั่นสร้างสมความดีให้ยิ่งๆขึ้น ท่านหลวงพ่อพุทธทาส กล่าวไว้ว่า “ศีลธรรมไม่กลับมา โลกาจะวินาศ” คิดว่าหลายท่านคงเคยได้ยินคำนี้มาบ้าง คำๆนี้เป็นสัจจริง เพราะทุกอย่างที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้เนื่องจาก คนขาดความละอาย ขาดศีลธรรม โลกจึงก้าวเดินเข้าสู่เหวลึกเข้าไปทุกวินาที อุบัติเหตุเภทภัยทางธรรมชาติที่ก่อให้เกิดความโศกเศร้าทุกข์ระทมไปทั่วหัวระแหงทั่วโลกก็เพราะ “สมุทัย” คือ เหตุหรือสาเหตุให้เกิดทุกข์ ตัวสมุทัยที่ว่าฝังตัวอยู่ในใจของเรามันคือ ตัวกิเลส ตัณหา อุปปาทาน ในยุคนี้หาคนที่จะละอายต่อบาปนั้นมีน้อยเต็มที แต่ยังมีอีกหลายคนที่พยายามช่วยกันจรรโรงโลกให้สดใสปลอดภัย กับทั้งยังมีอีกหลายฝ่ายที่พยายามเผยแพร่ธรรมะ ทั้งที่เป็นฝ่ายสงฆ์และฝ่ายฆราวาส ตามหน้าที่และบทบาทของตนเองเท่าที่จะช่วยได้ หากทุกคนมุ่งมั่นและมุ่งหมายไปในทางที่ดีเพียงคนละเล็กละน้อยหลายๆคนทั่วโลก คิดว่าการแก้ไขปัญหาต่างๆที่มีอยู่ทุกวันนี้หน้าจะหมดไปหรือลดน้อยลงได้เร็วขึ้นมากขึ้น ก่อนที่จะร่วมกันลำบากร่วมเวรร่วมกรรมกันอย่างเช่นยุคปัจจุบันนี้ เพราะความเห็นแก่ตัวของคนส่วนน้อยนั่นเอง
จากนี้เรามาเริ่มปฏิบัติธรรมกันดูก่อนค่ะ
สิ่งแรก คือ มองลงมาที่ใจของตนเองว่า ณ ขณะนี้จิตใจของเรา เยือกเย็น หรือ รุ่มร้อน หากใจเย็นมันเย็นเพราะอะไร จิตใจรุ่มร้อนมันร้อนด้วยเรื่องอะไร ต้องไม่หรอกตัวเอง ความจริงเท่านั่นที่จะทำให้คุณก้าวล่วงพ้นได้ เมื่อคุณพบความจริงในจิตใจแล้ว ก็ต้องมองลึกลงไปเป็น ขั้นที่สอง ว่าการที่เรามีสุขหรือมีทุกข์อยู่ในขณะนี้นั้นเกิดขึ้นจากอะไร เป็นเพราะความต้องการสิ่งต่างๆ เพื่อมาตอบสนอง กิเลส ตัณหาของตนเองใช่หรือไม่ สิ่งนั้นอาจจะเป็น ข้าวปลาอาหาร แก้วแหวนเงินทอง เคหะบ้านช่อง ชื่อเสียงเกียรติยศ หรือสิ่งอำนวยความสะดวกประดามีนั้น ซึ่งในแต่ละตัวตนมีความต้องการที่ไม่เท่ากันแล้วแต่ฐานะของแต่ละคน ความทะยานอยากที่มีอยู่ในแต่ละคนเป็นสาเหตุสำคัญของความเดือดร้อนวุ่นวายที่มีอยู่ทุกวันนี้ สานต่อเข้ากับการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นซึ่งกันและกันเข้าไปอีกสายหนึ่ง รวมรวบเข้ากับความไม่รู้จักพอเลยกลายเป็นแม่น้ำแห่งกิเลสสายใหญ่ในใจคน ทั้งหมดเป็นเรื่องของกาม(ไม่ได้หมายถึงกามที่บ่งว่าเป็นประเวณี) กามคือความอยาก อยากทุกประเภทนั่นคือกามคุณ แม่น้ำสายกามคุณนี้ ทำให้คนและสัตว์วนเวียนว่ายในวัฏฏะไม่รู้จบ พากันหูหนวก ตาบอด บ้าใบ้ คลั่งไคล้ในเพลิงอารมย์ หลงทาง หาแสงสว่างไม่เจอเหมือนตกอยู่ในอเวจี บางท่านเถียงว่าไม่จริง ฉันมีพร้อมทุกอย่างที่บุคคลหนึ่งจะมีได้ หรือมากกว่าใครๆหลายคนบนโลกใบนี้ด้วยซ้ำไป บุญทานฉันก็ทำจนนับไม่ได้แล้วว่าอะไรบ้าง ฉันไม่เห็นมีทุกข์เลย นั้นก็นับว่าเป็นอานิสงส์ของท่าน แต่ลองมองลงไปให้ลึกอีกสักหน่อยจะพบว่า เรายังมีความกลัวแฝงอยู่ภายในใจ ทำให้จิตใจหวั่นกลัวตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ ความกลัวตาย กลัวแก่ กลัวเจ็บ กลัวความพลัดพราก กลัวไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ กลัวการสูญเสีย กลัวความลำบาก กลัวป่วยไข้ และกลัวเภทภัยทางธรรมชาติ ความกลัวสารพัดชนิดมีอยู่ในจิตใจของคนทุกคน แต่หากท่านได้ปฏิบัติธรรมอย่างถูกต้องและถูกทาง ความกลัวเหล่านั้นก็ไม่สามารถจะทำอันตรายใดๆ กับท่านได้เลย เพราะท่านรู้แล้วว่าทุกสิ่งทุกอย่างย่อมสูญสลายไปในที่สุด หากไม่ต้องการให้สูญ ก็ต้องไม่ทำให้เกิด นั่นคือหัวใจสำคัญในการกำจัดความกลัวโดยสิ้นเชิง เป็นนิรันดร์ เมื่อไม่มีการเกิดก็ไม่มีการตาย ของทุกอย่างในโลกนี้อยู่ภายใต้ กฏบัญญัติแห่ง โลกธรรม ๘ ทั้งสิ้น ทุกอย่างเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วที่สุดล้วนดับไป เมื่อไรที่เป็นสุญญตาเมื่อนั้น ไม่ต้องกลัวต่อสิ่งใดๆในโลกทั้งหมด พระพุทธเจ้าท่านได้ศึกษาอย่างจริงจังและค้นพบเรื่องนี้ และทรงโปรดให้ความกรุณานำมาตรัสสอนเผยแผ่ไปให้ไพศาล ก้อมีแต่เฉพาะเรื่องนี้เท่านั้นเรื่องของ “สุญญตา” เรื่องอื่นล้วนไม่ใช่สาระ ใบไม้ในกำมือของท่านมีเท่านี้เอง มีเท่านี้จริงๆ หากท่านใดเข้าใจและปฏิบัติตามได้ นิพพานก็ไม่ใช่สิ่งไกลตัว แต่เกือบทุกคนไม่เข้า หรือเข้าใจบ้างเป็นบางครั้งเพราะยังเป็นปุถุชนอยู่จึงทำได้ยาก ดังนั้นมันก็ไม่ได้หมายถึงทำไม่ได้เลย เพียงแต่มันทำยาก ก็ต้องเร่งทำ เร่งขัดเกลา เร่งปฏิบัติตรวจดูใจเราว่า สิ่งใดเกิดขึ้น สิ่งใดตั้งอยู่ สิ่งใดดับไป ไว้ติดตามการปฏิบัติธรรมขั้นที่ 3 ในตอนหน้าค่ะ

ทุกชีวิตรักที่จะพบความสงบเย็น เหตุไฉนจึงวิ่งเข้าหาไฟนรกกันทุกลมหายใจ
เสียงคร่ำครวญจากการถูกแผดเผา ฟังคล้ายเสียงหัวเราะชอบใจของคนในปัจจุบันจนแยกไม่ออก

เกษแก้ว ศรัทธาโพธิธรรม

ไม่มีความคิดเห็น: