วันศุกร์ที่ ๒๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๔

เมื่อ...รู้....ควรทำ....

23 มีนาคม 2554.

ความจริงการที่เราจะคุยเรื่องอะไรกับใคร หรือคิดอะไรอย่างไร หรือทำอะไรเพื่ออะไร มักต้องรู้ว่าทั้งหมดเราต้องการอะไร แต่ในบางกรณีเราไม่รู้ว่า มันเป็นความต้องการแท้จริงหรือไม่ หรือเพียงเพื่อสนองอารมณ์และตัวกิเลสร้ายในใจเท่านั้น เรายังไม่ได้พิจารณาถึงผลได้ผลเสียเลย นั่นคือ การใช้อารมณ์เป็นหลักแต่ไม่ใช้เหตุไม่คำนวณถึงผลที่จะได้รับ คนส่วนใหญ่มักเป็นเช่นนี้

คนส่วนใหญ่ที่กล่าวนี้หมายรวมถึงตัวเราเองนี่เป็นสำคัญด้วย จักมีสักกี่ครั้งกี่หนที่เราทำอะไรๆอย่างคุ้มค่าถูกต้องจริง โดยมากทำเอาโดยการประมาณคาดคะเนว่าน่าจะใช้ได้ แต่ถ้าเราหัดคิดก่อนทำ คิดก่อนพูด ทบทวนถึงผลที่จะได้รับอย่างถ้วนถี่ไม่เข้าข้างตัวเองและผู้อื่น คำนวณถึงการต่างๆว่าจะมีใครได้หรือเสียมากน้อยเท่าใด ความเสียใจและคำว่าขอโทษ หรือขอแก้ตัวใหม่ อาจจะถูกนำมาใช้น้อยลงและดูมีคุณค่ามากขึ้น มากกว่าการแสดงออกเพียงเป็นธรรมเนียมนิยมว่า ผิดแล้วต้องขอโทษนะ ผิดแล้วต้องแก้ตัวนะ และเราต้องให้อภัยกับคนผิดหรือความผิดนั้นๆนะ ถ้าไม่เป็นอย่างนี้ก็ถือว่าโลกโหดร้ายไม่ให้โอกาสไม่ให้ความยุติธรรม
ยุติธรรมคำนี้มีค่าสูงมาก และมีความศักดิ์สิทธิ์ในตัวเองโดยไม่ต้องบรรยาย ถ้าเราเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรมเราจะเชื่อเรื่องความยุติธรรม เพราะเป็นเรื่องเดียวกัน กรรมคือความยุติธรรม นี่เป็นความศักดิ์สิทธิ์และยุติธรรมที่สุดในโลก “สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม” ไม่ว่าการกระทำกรรมนั้นจะอยู่ในที่แจ้งหรือที่ลับก็ตาม เพราะดวงตาของธรรมสามารถมองผ่านทะลุทุกมิติได้ แสงแห่งธรรมสาดส่องทั่วทุกพิภพจบโลกา ดังนั้น การพูด คิด และการกระทำทุกอย่างของสัตว์ทั้งหลายย่อมปรากฏเป็นความยุติธรรมและเป็นเหตุแห่งการกำเนิดของทุกชีวิตที่ยังติดอยู่กับบ่วงกรรมของตน การกำเนิดของสัตว์ไม่ว่าจะมั่งมีหรือยากจน ทุกข์แสนสาหัสหรือสบายเสวยสุขจนน่าอิจฉา ล้วนเป็นความยุติธรรมอันเกิดจากกรรมบันดาลกรรมเป็นตาชั่งที่เที่ยงตรงที่สุด ความสงสัยที่หลายคนมักบ่นเพ้อว่า เราไม่เคยทำอย่างนั้นอย่างนี้แล้วทำไมเหตุการณ์โน่นนี่ ที่โหดร้ายมักเกิดกับเราเสมอ นั่นเพราะเราระลึกถึงกรรมเบื้องต้น ก่อนที่จะมาเกิดเป็นตัวเราในวันนี้ไม่ได้ต่างหาก ถ้าเราระลึกได้เราอาจจะกล่าวว่า “นี่ยังน้อยไปพร้อมกับยกมือท่วมหัวว่า จะไม่ทำชั่วเยี่ยงนั้นอีกแล้วก็ได้

ทุกขณะจิต ทุกลมหายใจเข้าออกล้วนถูกจดจ้อง จดบันทึก ด้วยระบบอันทันสมัย เป็นเทคโนโลยีที่โลกยังก้าวไปไม่ถึงนั้นคือ เทคโนโลยีของกฎแห่งกรรม ไม่ว่าเราจะนั่ง ยืน เดิน นอนทุกอิริยาบถ ทุกสถานที่ ล้วนถูกบันทึกไว้อย่างละเอียดที่สุด ทะลุทะลวงจดบันทึกแจ้งจำนนอย่างถี่ถ้วน และสรุปเป็นผลกรรมอันควรตอบสนองของทุกชีวิตอย่างยุติธรรมที่สุด ในโลกนี้คนโง่มีมากมายหลายประเภท แต่คนโง่ที่สุดที่ไม่น่าให้อภัย คือ คนโง่ที่ไม่เชื่อเรื่องกฎแห่งกรรมและทำตัวอยู่เหนือกรรม เก่งกว่ากฎกรรมเพราะอะไรน่ะหรือ เพราะถ้าเราเพียงเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม เราจะสามารถวางแผนชีวิตของเราตั้งแต่ลมหายใจนี้เลยว่าเราจะต้องการให้ตัวเราเป็นอะไร ทำอย่างไร จึงได้ดังที่ต้องการ และมีความสุขจริงโดยไม่มีใครมาเบียดเบียนอีกต่อไป เริ่มต้นจากการที่เราไม่เบียดเบียนตนเองและไม่เบียดเบียนผู้อื่น คือ ศีล 5 และหมั่นแบ่งปันความสุขให้กับผู้อื่นและตนเองด้วยการ ให้ทาน หมั่นฝึกฝนความคิด สติปัญญาด้วยการใฝ่ศึกษาปฏิบัติธรรม จนเกิดรู้แจ้งธรรมเดินตามรอยพระบาทแห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และผู้ที่ร่ำร้องเฝ้าแต่วิงวอนขอให้พระเจ้าช่วยนั่นคือ คนขาดสติขาดปัญญาน่าสงสาร แต่ผู้ที่หมั่นแก้ไขข้อบกพร่องของชีวิตและเพียรสร้างสมความดีงาม เขาผู้นั้นคือ ผู้มีปัญญาโดยแท้

ผู้ที่รู้แล้วแก้ไขคือผู้มีปัญญา น่ายกย่อง แต่ผู้ที่ดีแต่แก้ตัวคือผู้ที่ตกต่ำ และขาดซึ่งปัญญาแท้

แก้วเกษม ศรัทธาโพธิธรรม
keawkasem@gmail.com

วันพฤหัสบดีที่ ๓๐ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๓

การบรรยายธรรมะโดยท่าน ว.วชิรเมธี ท่านได้ให้พร 4 ข้อ

การบรรยายธรรมะโดยท่าน ว.วชิรเมธี ท่านได้ให้พร 4 ข้อ ดังนี้
1. อย่าเป็นนักจับผิด คนที่คอยจับผิดคนอื่น แสดงว่า หลงตัวเองว่าเป็นคนดีกว่าคนอื่น ไม่เห็นข้อบกพร่องของตนเอง ' กิเลสฟูท่วมหัว ยังไม่รู้จักตัวอีก ' คนที่ชอบจับผิด จิตใจจะหม่นหมอง ไม่มีโอกาส ' จิตประภัสสร ' ฉะนั้น จงมองคน มองโลกในแง่ดี ' แม้ในสิ่งที่เป็นทุกข์ ถ้ามองเป็น ก็เป็นสุข '
2. อย่ามัวแต่คิดริษยา ' แข่งกันดี ไม่ดีสักคน ผลัดกันดี ได้ดีทุกคน ' คนเราต้องมี พรหมวิหาร 4 คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา คนที่เราริษยาเป็นการส่วนตัว มีชื่อว่า ' เจ้ากรรมนายเวร ' ถ้าเขาสุข เราจะทุกข์ ฉะนั้น เราต้องถอดถอน ความริษยาออกจากใจเรา เพราะไฟริษยา เป็น ' ไฟสุมขอน ' ( ไฟเย็น) เราริษยา 1 คน เราก็มีทุกข์ 1 ก้อนเราสามารถถอดถอนความริษยาออกจากใจเราโดยใช้วิธี ' แผ่เมตตา ' หรือ ซื้อโคมลอยมา แล้วเขียนชื่อคนที่เราร ิษยา แล้วปล ่อยให้ลอยไป
3. อย่าเสียเวลากับความหลัง 90% ของคนที่ทุกข์ เกิดจากการย้ำคิดย้ำทำ ' ปล่อยไม่ลง ปลงไม่เป็น ' มนุษย์ที่สลัดความหลังไม่ออก เหมือนมนุษย์ที่เดินขึ้นเขาพร้อมแบกเครื่องภาระต่างๆ ไว้ที่หลังขึ้นไปด้วยความทุกข์ที่เกิดขึ้นแล้ว จงปล่อยมันซะ ' อย่าปล่อยให้คมมีดแห่งอดีต มากรีดปัจจุบัน ' ' อยู่กับปัจจุบันให้เป็น ' ให้กายอยู่กับจิต จิตอยู่กับกาย คือมี ' สติ ' กำกับตลอดเวลา
4. อย่าพังเพราะไม่รู้จักพอ ' ตัณหา ' ที่มีปัญหา คือ ความโลภ ควา มอยากที่เกินพอดี เหมือนทะเลไม่เคยอิ่มด้วยน้ำ ไฟไม่เคยอิ่มด้วยเชื้อ ธรรมชาติของตัณหา คือ ' ยิ่งเติมยิ่งไม่เต็ม ' ทุกอย่างต้องดู ' คุณค่าที่แท้จริง ' ไม่ใช่ คุณค่าเทียม เช่น คุณค่าที่แท้ของนาฬิกาคืออะไร ? คือไว้ดูเวลาไม่ใช่ใส่เพื่อความโก้หรูคุณค่าที่แท้ของโทรศัพท์มือถือคืออะไร ? คือไว้สื่อสาร แต่องค์ประกอบอื่นๆ ที่เสริมมาไม่ใช่คุณค่าที่แท้จริงของโทรศัพท์ เราต้องถามตัวเองว่า ' เิกิดมาทำไม ' คุณค่าที่แท้จริงของการเกิดมาเป็นมนุษย ์อยู่ตรงไหน ตามหา ' แก่น ' ของชีวิตให้เจอคำว่า ' พอดี' คือ ถ้า ' พอ ' แล้วจะ' ดี ' รู้จัก ' พอ ' จะมีชีวิตอย่าง

วันพุธที่ ๒๐ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๓

สายสัมพันธ์แห่งรักแท้

ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกทรงกลมเหมือนผลส้มใบนี้ไม่ว่าจะมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตก็ตาม ล้วนมีความผูกพันธ์กันทั้งสิ้น เวลาเป็นเครื่องกำหนดความเป็นไปของสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวงและในสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นยังมีลีลาเฉพาะตนอีกด้วย ซึ่งแต่ละลีลายังโยงใยสิ่งหนึ่งไปสู่อีกสิ่งหนึ่งเสมอ ไม่มีแม้แต่สิ่งเดียวที่อยู่อย่างโดดเดี่ยว โดยไม่เชื่อมโยงสัมพันธ์กับสิ่งใดๆเลยได้ สิ่งที่โดดเดี่ยวนั้นมันอยู่ไม่ได้ต้องสลายไปในที่สุดในทันที ดังนั้นทุกๆสิ่งบนโลกและนอกโลกล้วนถูกผูกเข้าด้วยกันด้วยเวลา และลีลา ผูกพันธ์เข้าด้วยกันอย่างกลมกลืนแยกไม่ออกทั้งสิ้น

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระบรมศาสดาผู้รู้แจ้งโลก ได้ค้นพบความลับในข้อนี้ พระองค์ทรงรู้แจ้งแทงตลอดอย่างยิ่ง และด้วยความเป็นเอกเลิศทางปัญญาของพระองค์จึงทำให้โลกรู้ว่า ไม่มีสิ่งใดจะสามารถอยู่ได้อย่างโดดเดี่ยวอย่างไม่แยแสผู้อื่น และอยู่อย่างเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้แต่เพียงผู้เดียว พระองค์ทรงประกาศธรรมะนี้ต่อโลกเมื่อสองพันกว่าปีมาแล้ว แม้เวลาจะผ่านมานานสักปานใดธรรมะของพระองค์ก็ยังทันสมัยและยังใช้ได้อยู่เสมอมา ข้อศีลข้อวัตรต่างๆที่พระองค์ทรงวางไว้ก็ล้วนแต่เป็นข้อธรรมที่ทำให้เกิดการอยู่ร่วมอย่างสันติสุข มีความราบรื่นในการดำเนินชีวิต เป็นสิ่งที่เมื่อผู้ใดปฏิบัติตามย่อมอยู่เป็นสุขในทุกที่ ข้อศีลและข้อธรรมที่ควรรู้ควรปฏิบัติเริ่มแต่ ศีล 5 ธรรม 5 ก็เพื่อความเป็นไปอย่างปกติและเป็นสุขอยู่ทุกเมื่อของทุกชีวิตทุกสรรพสิ่งที่มีอยู่ในโลกที่ต้องอยู่ร่วมกันต้องพึ่งพากันและกัน การถนอมรักษาจิตใจและรักชีวิตของกันและกันเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดของสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงนั้น เป็นสิ่งมีค่าเลอเลิศสูงสุดหาสิ่งใดมาเปรียบมิได้ จริงไหมลองคิดกันดูเถิด

ดูง่ายๆความสัมพันธ์ระหว่าง แม่-พ่อกับบุตร, คุรุกับศิษฐ์,สหายกับสหาย, บ้านเรากับเพื่อนข้างบ้าน, ประเทศชาติของเรากับอาณามิตรประเทศต่างๆ, และอีกสิ่งที่สำคัญที่ลืมไม่ได้ คือ ธรรมชาติกับชีวิต สัตว์ทั้งหลายทุกๆตัวในโลกนี้ กระทั่งยังรวมไปถึง อากาศ ผืนดิน ผืนป่า แม่น้ำ ทะเล มหาสมุทร หรือแม้แต่ดวงดาว พระอาทิตย์ พระจันทร์ ระบบจักรวาล ล้วนผูกพันธ์กันเชื่อมโยงเป็นเครือข่ายกันทั้งสิ้น สิ่งต่างๆที่กล่าวมาหากพบความเสื่อมเสียวิบัติลงเมื่อใดสิ่งต่างๆที่กล่าวมาข้างต้นย่อมได้รับผลกระทบโดยทั่วกันเป็นลูกโซ่ จะมากหรือน้อยแล้วแต่เหตุปัจจัยที่เป็นส่วนประกอบของสิ่งนั้นๆ อย่างเหตุการณ์ทางภัยธรรมชาติเป็นต้น สาเหตุหนึ่งเกิดเพราะความไม่เที่ยงที่เป็นไปตามธรรมชาติ แต่อีกสิ่งคือ ความเห็นแก่ตัวของกลุ่มคนหรือตัวบุคคลต่างๆ ที่เขาเกิดมาเพื่อทำชั่วเพื่อการกอบโกย เอาแต่ได้ใครจะเดือดร้อนไม่สนใจเปรียบเหมือนสัตว์นรกหนีมาเกิดก็ว่าได้ แต่ถ้า!เรารู้จักเป็นผู้ให้ เป็นผู้มีศีลธรรมรักษากายและจิต รู้จักละอายใจเมื่อคิดชั่ว และเกรงกลัวต่อการทำชั่วไม่กล้าลงมือกระทำความชั่วนั้นเพราะเชื่อในบาปบุญคุณโทษ ทุกอย่างก็เป็นความเมตตากรุณาปราณีต่อกัน ถนุถนอมกายใจของตนเองและผู้อื่นมิให้เจ็บช้ำ ให้ความเคารพซึ่งกันและกัน ไม่ทำลายล้างไม่คิดร้ายทำลายใครเพราะสงสารเขาเห็นคนอื่นเปรียบดังเป็นเช่นบุตรอันเป็นที่รักแห่งตน และเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม ทุกคนล้วนมีความเมตตา มีความปราถนาดีที่จะมีให้แก่กัน ความสงบสุขความร่มเย็นย่อมมีขึ้นกับทุกสิ่งที่กล่าวมานี้ ถ้าเป็นอย่างนี้เชื้อแห่งโพธิความเป็นโพธิสัตว์เบื้องต้นย่อมเกิดแก่เราทุกคนได้ เนื่องจากเราเป็นผู้ให้มากกว่าการเป็นผู้ขอ เพราะเราทั้งหลายย่อมไม่คิดร้าย ไม่ทำร้าย ไม่เบียดเบียน ไม่อาฆาตพยาบาทไม่เอารัดเอาเปรียบ ไม่คิดจะทำให้ใครสิ่งใดต้องฉิบหายไป ทุกคนล้วนอยากเห็นผู้อื่นพ้นทุกข์และปราถนาอยากมอบความสุขให้กัน นี่แหละหนทางแห่งการได้เข้าไปสู่แดนแห่งความสงบ สว่าง สะอาด ในโลกที่ยังมีลมหายใจอยู่โดยไม่ต้องรอให้ตายก่อนแล้วค่อยขึ้นสวรรค์ เพียงพิจารณาเท่านี้สวรรค์ก็เกิดขึ้นแล้วในใจเราในทันทีนี่เอง และนี่เองคือความรักแท้จริง รักบริสุทธิ์ รักไม่เสื่อมคลาย รักชนิดสร้างสรร รักแล้วเป็นสุขปราศจากทุกข์ เพราะทุกคนอยากเป็นผู้มอบให้ มากกว่าอยากเป็นผู้เรียกร้องอยากได้ตลอดเวลา

ฝากท่านทั้งหลายลองคิดพิจารณากันดูตั้งแต่นี้เดี๋ยวเถิดว่าจริงหรือไม่ ถูกหรือเปล่า? ที่เราบูชาเงินทอง ทรัพย์สมบัติ สังคมหน้าตา ชื่อเสียงเกียตรยศ ทั้งหลายว่านั่นเป็นสิ่งที่ยอดที่สุด ความปลอดภัยเป็นสุข ความร่มเย็นเป็นสุข ความสว่างแห่งกายความสบายแห่งจิตและความเป็นปกติสุข ความปลอดภัยอยู่ทุกเมื่อ จะเกิดได้จากอะไรกันแน่ เพียงท่านยิ้มให้กับใครสักคนหนึ่งอย่างจริงใจสิ่งที่ท่านจะได้รับก็คือรอยยิ้มเช่นเดียวกัน เมื่อท่านเป็นผู้ให้อย่างจริงใจท่านก็จะได้รับการให้ตอบเช่นกัน และถ้าโลกนี้มีแต่มิตรภาพสัมพันธะจิตอันอ่อนโยน ความซื่อสัตย์สุจริตที่เปี่ยมไปด้วยเมตตากรุณาต่อกัน ย่อมนำสุขแท้มาให้เราและคนที่เรารักและบ้านของเรา โลกของเรามิใช่หรือ เมื่อนั้นไม่ว่าท่านจะนั่ง จะนอน ยืน เดินในที่ใดๆ ทุกที่นั้นย่อมเป็นสุข เป็นปกติปลอดภัย สิ่งเหล่านี้มิใช่หรือที่เราต้องการอย่างแท้จริง ท่านอาจจะเผลอพูดออกมาว่า “สุขจริงหนอ สุขจริงหนอ สุขจริงหนอ” ก็ได้เมื่อวันนั้นมาถึง

เวลาชีวิตนั้นเหลือไม่มากพอที่จะมาสร้างลีลาอันโฉดเขลาแล้วเป่าประกาศว่า ขอโอกาสอีกสักครั้ง โอกาสนั้นไม่มีสำหรับคนที่ไม่รู้จักคุณค่าของเวลา และไม่เห็นคุณค่าแห่งความรักความเมตตาไม่มีโอกาสสำหรับผู้มีใจหยาบ

หากท่านขาดสายสัมพันธ์แห่งโพธิ ขาดสิ้นสัมพันธ์รักแท้ที่มาจากความเมตตา ซึ่งเป็นมรดกชิ้นสำคัญที่สุดของมนุษยชาติที่กำลังจะหมดไปในไม่ช้า โลกจะพินาศเร็วกว่าที่คิดชนิดไม่ทันตั้งตัวก็เป็นได้
เรามาช่วยกันสานต่อ ผูกเชื่อม โยงใยสายสัมพันธ์แห่งความรักอันบริสุทธิ์กันเถิด เริ่มตั้งแต่ตัวเรา ลูกของเรา ญาติของเรา เพื่อนของเรา และผู้คนรอบข้างเรา ที่สุดโลกของเรา เข้าด้วยกันได้หรือยัง ถ้าท่านตอบว่าได้แล้ว ท่านจงเป็นผู้ให้ความรัก ท่านจงเป็นผู้มอบความเมตตานั้นๆ อย่างอ่อนโยนและจริงใจต่อผู้ร่วมสายสัมพันธ์รักนี้เถิด นี่คือสวรรค์บนดินและสวรรค์คนเป็น อย่างแท้จริง.

แก้วเกษม ศรัทธาโพธิธรรม

วันพฤหัสบดีที่ ๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๒

กรรมะกับชีวิต : กรรมรักษา

กรรมรักษา ฟังดูไพเราะดี น่าจะมีความหมายที่ดี แต่คำว่า “กรรม” นั้นเป็นคำกลางๆไม่ได้บอกว่าดีหรือไม่ดีแต่อย่างไร คำว่า “กรรม” แปลว่าการกระทำ ซึ่งหมายถึงการกระทำทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่ว รวมเรียกว่ากรรมทั้งสิ้น และตัวการกระทำที่ก่อให้เกิดกรรมนี้ยังแยกย่อยออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ อีก คือ

กรรมที่เกิดจากการกระทำทางกาย กรรมที่เกิดจากการกระทำทางวาจา และกรรมที่เกิดจากการกระทำทางใจซึ่งหลายๆ ท่านก็คงทราบเป็นอย่างดีแล้วว่า นั้นคือ กายกรรม วจีกรรม และมโนกรรมนั้นเอง ฟังดูเหมือนไม่มีอะไร แต่นี่คือ ต้นเหตุ ต้นเรื่อง ของการวนเวียนว่ายตายเกิดของสัตว์ทั้งหลายทั้งสิ้นในโลกนี้ พระพุทธเจ้าตรัสสอนตลอด 45 พระพรรษา ก็เรื่องใหญ่ 3 ข้อนี้เท่านั้น คือ กายกรรม วจีกรรม และมโนกรรมไม่ได้กล่าวอย่างอื่นนอกจากนี้เลย รวมเรียกว่า กรรม กฏแห่งกรรม วงเวียนกรรม สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม และที่สุดสรุปถึงความไม่ประมาทในกรรมนั้นเอง เมื่อทราบเช่นนี้แล้ว เราก็ควรสำรวมกาย วาจา และใจให้จงดีอย่าได้ประมาทในการกระทำของตนว่า คงไม่มีใครรู้ไม่มีใครเห็น เพราะทุกอย่างที่เราทำถูกบรรทึกไว้อย่างละเอียดด้วยบัญชีกรรม ก้อเราอีกนั้นแหละที่จะได้รับทั้งต้นและดอกของผลกรรมนั้นอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย เที่ยงตรง ยุติธรรมอย่างยิ่ง เราจะเป็นผู้เสวยกรรมทุกๆชาติที่เราเกิดจนกว่าจิตนี้จะเป็นผู้กระทำกรรมขาว กรรมสะอาดจึงหมดกรรม

กรรมดีจะส่งผลให้เราได้รับผลดี กรรมชั่วจะส่งผลให้เราได้รับผลชั่ว โดยที่ตัวกรรมไม่ได้ท้าวความแต่หนหลังให้เราได้ทราบล่วงหน้าว่า ต่อไปนี้ท่านจะต้องได้รับกรรมประเภทไหน พอรู้ตัวเราก็เสวยกรรมนั้นอยู่อย่างเอร็ดอร่อยแล้ว เป็นประเภทกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเสียด้วยวิ่งโล่หาวิธีแก้กรรมกันยกใหญ่ แต่ถ้าเราได้ศึกษาพระธรรมของพระพุทธเจ้าเราก็จะอยู่กับกรรมทุกๆประเภทอย่างมีสติ และยิ้มได้อย่างเบิกบาน ปล่อยจิตว่าง และปล่อยวางกับความตึงเครียดต่างๆได้อย่างมีปัญญา แก้ไขปัญหาอย่างผู้มีสติและมีความหวัง ชีวิตทุกขณะลมหายใจเข้าออกเดินเรียบ เดินสะดวกไม่สะดุดกรรม บางท่านกำลังจะได้รับกรรมดีผลดีแต่กลับต้องเจออุปสรรคหรือต้องออกเหงื่อก่อนจึงจะได้รับความสำเร็จนั้นก็เพราะกรรมชั่วมาตัดรอนกรรมดี แต่บางท่านกำลังพบปัญหาใหญ่อุปสรรคมากมายเข้ามาย่ำยีชีวิต แต่แล้วกลับกลายเป็นดีได้อย่างน่าอัศจรรย์นั้นก็เพราะกรรมดีเข้ามาตัดรอนแรงกรรมชั่ว แล้วกรรมตัดรอนทั้งหลายเหล่านี้มาจากไหนน่ะหรือ ก็มาจากตัวเรานี้นั่นเอง ที่สร้างไว้มานับชาติไม่ถ้วน หมุนเวียนเปลี่ยนไปมาจนกว่าดวงจิตนี้จะเข้าสู่ความบริสุทธิ์แห่งธรรม จิตใสพิสุทธิ์ดั่งแก้วกัลปพฤกษ์ จิตของเราเดินเข้าสู่หนทางแห่งธรรมอันวิเศษ เมื่อนั้นกรรมทั้งหลายเป็นโมฆะ หมดแรงกรรม สิ้นแดนเกิด ออกจากวัฏฏสงสาร

เมื่อไหร่ท่านทั้งหลายจึงจะฉลาดในการสร้างกรรม มีปัญญาอันสว่างไสวนำพาดวงจิตของท่านเข้าเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากันเสียทีเจ้าคะ

- ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา พระตถาคต (ธรรม คือ อะไร) - ผู้ที่ยังประมาทอยู่ชื่อว่า “ผู้ไม่มีปัญญา”

ทุกวันนี้เราเป็นผู้กลัวกรรมเป็นอย่างยิ่ง “กรรม” คือการกระทำ ดังนั้นเราจึงเป็นผู้พิจารณากรรมก่อนกระทำกรรมใดๆลงไป เพื่อไม่เป็นผู้ประมาทในกรรม แล้วท่านหล่ะกลัวกรรมหรือยัง ผู้มีการกระทำที่ดีและหมั่นสร้างแต่กรรมดี ผู้นั้นย่อมได้รับผลของกรรมดีเป็นสิ่งตอบแทนในที่สุด ถึงแม้จะมีกรรมชั่วมาตัดรอนบ้างแต่ก็ไม่สามารถทำอันตรายแก่ผู้ไม่ประมาทในกรรมนั้น เนื่องเพราะอำนาจแห่ง คุณศีล คุณธรรมที่รักษาท่านนั้นเอง.

แก้วเกษม ศรัทธาโพธิธรรม

ใบมีดโกนคมบาดใจยังไม่เท่าความคมของน้ำคำบาดจิต

ความคมของใบมีดโกนนั้นมีความคมมาก เมื่อโดนบาดเนื้อย่อมเจ็บปวดและเกิดรอยแผลไว้ให้ดูต่างหน้า แต่ไม่นานวันความเจ็บปวดนั้นก็หายไป ส่วนความคมของน้ำคำที่เข้ามาบาดใจนี่สิเจ็บปวดยิ่งกว่า สร้างความทุกข์ทรมานให้กับเจ้าของจิตใจที่ถูกคมคำนั้นบาดได้ไม่รู้ลืม หลายสิ่งหลายอย่างในโลกใบนี้เกิดขึ้นและถูกทำลายลงในชั่วพริบตา แม้กระทั่งการทำลายชีวิตของมนุษย์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนร่วมโลกของเรา มีสาเหตุมากจากความคมของน้ำคำที่บาดใจทั้งสิ้น

ได้สมหวังในความรัก หรือ ได้รับความเกลียดชัง อาฆาตแค้น ก็เพราะต้นเหตุมาจาก “น้ำคำ” ทั้งสิ้นลองพิจาระณากันดู.

แก้วเกษม ศรัทธาโพธิธรรม