วันศุกร์ที่ ๒๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๔

เมื่อ...รู้....ควรทำ....

23 มีนาคม 2554.

ความจริงการที่เราจะคุยเรื่องอะไรกับใคร หรือคิดอะไรอย่างไร หรือทำอะไรเพื่ออะไร มักต้องรู้ว่าทั้งหมดเราต้องการอะไร แต่ในบางกรณีเราไม่รู้ว่า มันเป็นความต้องการแท้จริงหรือไม่ หรือเพียงเพื่อสนองอารมณ์และตัวกิเลสร้ายในใจเท่านั้น เรายังไม่ได้พิจารณาถึงผลได้ผลเสียเลย นั่นคือ การใช้อารมณ์เป็นหลักแต่ไม่ใช้เหตุไม่คำนวณถึงผลที่จะได้รับ คนส่วนใหญ่มักเป็นเช่นนี้

คนส่วนใหญ่ที่กล่าวนี้หมายรวมถึงตัวเราเองนี่เป็นสำคัญด้วย จักมีสักกี่ครั้งกี่หนที่เราทำอะไรๆอย่างคุ้มค่าถูกต้องจริง โดยมากทำเอาโดยการประมาณคาดคะเนว่าน่าจะใช้ได้ แต่ถ้าเราหัดคิดก่อนทำ คิดก่อนพูด ทบทวนถึงผลที่จะได้รับอย่างถ้วนถี่ไม่เข้าข้างตัวเองและผู้อื่น คำนวณถึงการต่างๆว่าจะมีใครได้หรือเสียมากน้อยเท่าใด ความเสียใจและคำว่าขอโทษ หรือขอแก้ตัวใหม่ อาจจะถูกนำมาใช้น้อยลงและดูมีคุณค่ามากขึ้น มากกว่าการแสดงออกเพียงเป็นธรรมเนียมนิยมว่า ผิดแล้วต้องขอโทษนะ ผิดแล้วต้องแก้ตัวนะ และเราต้องให้อภัยกับคนผิดหรือความผิดนั้นๆนะ ถ้าไม่เป็นอย่างนี้ก็ถือว่าโลกโหดร้ายไม่ให้โอกาสไม่ให้ความยุติธรรม
ยุติธรรมคำนี้มีค่าสูงมาก และมีความศักดิ์สิทธิ์ในตัวเองโดยไม่ต้องบรรยาย ถ้าเราเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรมเราจะเชื่อเรื่องความยุติธรรม เพราะเป็นเรื่องเดียวกัน กรรมคือความยุติธรรม นี่เป็นความศักดิ์สิทธิ์และยุติธรรมที่สุดในโลก “สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม” ไม่ว่าการกระทำกรรมนั้นจะอยู่ในที่แจ้งหรือที่ลับก็ตาม เพราะดวงตาของธรรมสามารถมองผ่านทะลุทุกมิติได้ แสงแห่งธรรมสาดส่องทั่วทุกพิภพจบโลกา ดังนั้น การพูด คิด และการกระทำทุกอย่างของสัตว์ทั้งหลายย่อมปรากฏเป็นความยุติธรรมและเป็นเหตุแห่งการกำเนิดของทุกชีวิตที่ยังติดอยู่กับบ่วงกรรมของตน การกำเนิดของสัตว์ไม่ว่าจะมั่งมีหรือยากจน ทุกข์แสนสาหัสหรือสบายเสวยสุขจนน่าอิจฉา ล้วนเป็นความยุติธรรมอันเกิดจากกรรมบันดาลกรรมเป็นตาชั่งที่เที่ยงตรงที่สุด ความสงสัยที่หลายคนมักบ่นเพ้อว่า เราไม่เคยทำอย่างนั้นอย่างนี้แล้วทำไมเหตุการณ์โน่นนี่ ที่โหดร้ายมักเกิดกับเราเสมอ นั่นเพราะเราระลึกถึงกรรมเบื้องต้น ก่อนที่จะมาเกิดเป็นตัวเราในวันนี้ไม่ได้ต่างหาก ถ้าเราระลึกได้เราอาจจะกล่าวว่า “นี่ยังน้อยไปพร้อมกับยกมือท่วมหัวว่า จะไม่ทำชั่วเยี่ยงนั้นอีกแล้วก็ได้

ทุกขณะจิต ทุกลมหายใจเข้าออกล้วนถูกจดจ้อง จดบันทึก ด้วยระบบอันทันสมัย เป็นเทคโนโลยีที่โลกยังก้าวไปไม่ถึงนั้นคือ เทคโนโลยีของกฎแห่งกรรม ไม่ว่าเราจะนั่ง ยืน เดิน นอนทุกอิริยาบถ ทุกสถานที่ ล้วนถูกบันทึกไว้อย่างละเอียดที่สุด ทะลุทะลวงจดบันทึกแจ้งจำนนอย่างถี่ถ้วน และสรุปเป็นผลกรรมอันควรตอบสนองของทุกชีวิตอย่างยุติธรรมที่สุด ในโลกนี้คนโง่มีมากมายหลายประเภท แต่คนโง่ที่สุดที่ไม่น่าให้อภัย คือ คนโง่ที่ไม่เชื่อเรื่องกฎแห่งกรรมและทำตัวอยู่เหนือกรรม เก่งกว่ากฎกรรมเพราะอะไรน่ะหรือ เพราะถ้าเราเพียงเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม เราจะสามารถวางแผนชีวิตของเราตั้งแต่ลมหายใจนี้เลยว่าเราจะต้องการให้ตัวเราเป็นอะไร ทำอย่างไร จึงได้ดังที่ต้องการ และมีความสุขจริงโดยไม่มีใครมาเบียดเบียนอีกต่อไป เริ่มต้นจากการที่เราไม่เบียดเบียนตนเองและไม่เบียดเบียนผู้อื่น คือ ศีล 5 และหมั่นแบ่งปันความสุขให้กับผู้อื่นและตนเองด้วยการ ให้ทาน หมั่นฝึกฝนความคิด สติปัญญาด้วยการใฝ่ศึกษาปฏิบัติธรรม จนเกิดรู้แจ้งธรรมเดินตามรอยพระบาทแห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และผู้ที่ร่ำร้องเฝ้าแต่วิงวอนขอให้พระเจ้าช่วยนั่นคือ คนขาดสติขาดปัญญาน่าสงสาร แต่ผู้ที่หมั่นแก้ไขข้อบกพร่องของชีวิตและเพียรสร้างสมความดีงาม เขาผู้นั้นคือ ผู้มีปัญญาโดยแท้

ผู้ที่รู้แล้วแก้ไขคือผู้มีปัญญา น่ายกย่อง แต่ผู้ที่ดีแต่แก้ตัวคือผู้ที่ตกต่ำ และขาดซึ่งปัญญาแท้

แก้วเกษม ศรัทธาโพธิธรรม
keawkasem@gmail.com

ไม่มีความคิดเห็น: