วันพุธที่ ๑๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๑

การอยู่ร่วมกับทุกข์อย่างมีความสุข

การอยู่ร่วมกับทุกข์อย่างมีความสุข


ทุกข์ เป็นคำที่ทุกคนรังเกียจไม่อยากได้เป็นเจ้าของ ต่างพากันผลักไสทุกข์ให้ออกไปไกลตัว ความทุกข์เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องเคยมีประสพการณ์กับมันมาทั้งสิ้น แต่ถ้าคิดให้ดีทุกข์เป็นเพื่อนแท้ที่ไม่ยอมทิ้งเราไปง่ายๆคอยติดตามเราไปทั่วทุกหนแห่ง ทุกลมหายใจเข้าออก เป็นเงาตามตัวที่ซื่อสัตย์จงรักภักดียิ่งกว่าอะไรทั้งมวล บางครั้งตัวทุกข์ก็แสดงตัวเป็นเจ้านายที่มีเดชมีอำนาจเหนือเราจนเราจนไม่สามารถบังคับตัวเองได้และจะปฏิเสธความทุกข์ไม่ให้มีกับเราก็ไม่ได้อีก แต่ที่แน่ๆความทุกข์ช่างจงรักภักดีกับเราเหลือเกินคอยอยู่ในใจ-ในกายของเราตลอดเวลาไล่เท่าไรก็ไม่ไป ดื้อด้านจริงหนอ!
ทุกข์ เป็นเหตุให้เกิดการเรียนรู้ เป็นเหตุให้เห็นความจริงที่มีอยู่ในโลก เป็นเหตุให้สำเร็จมรรคผลนี่คือ สิ่งที่องค์พระสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ พระองค์ท่านได้เห็นทุกข์ที่ทุกคนไม่อยากได้ไม่อยากพบเห็น และสิ่งที่ท่านเห็นนั้นเป็นสิ่งที่เป็นธรรมดาเหลือเกินสำหรับพวกเรา ความเกิด แก่ เจ็บ ตายเป็นเรื่องธรรมชาติจนเรามองข้ามไป แต่องค์พระสรรพพัญญูพระบรมบิดาแห่งเราท่านได้เห็นแล้วพิจารณาว่านี่เป็นทุกข์ที่ยิ่งใหญ่ เกิดความสงสารสุดประมาณจนต้องหาทางดับทุกข์นั้นให้ได้ พระองค์ทรงเสียสละทุกอย่างที่มี เพื่อที่จะได้แสวงหาหนทางแห่งความดับทุกข์นั้นเดิมพันกันด้วยชีวิตเลยทีเดียว ที่สุดพระบรมศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้พบวิธีพ้นทุกข์หนทางแห่งความสุขที่สงบเย็นอย่างไม่เหลือเชื้อแห่งไฟ(ไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ) อีก ท่านได้สำเร็จวิชาการก้าวออกจากทุกข์แล้วท่านก็ทรงมีน้ำพระทัยที่เปี่ยมไปด้วยพระกรุณาอย่างที่สุด ที่จะช่วยให้เราทั้งหลายสรรพสัตว์ในโลกนี้ได้เดินตามก้าวไปสู่หนทางแห่งการพ้นทุกข์นั้นด้วยแต่หนทางนี้ทุกคนต้องเดินเอง ไม่สามารถไหว้วานหรือฝากให้ใครทำแทนได้ อีกทั้งต้องมีความตั้งใจอย่างสูงสุดที่จะก้าวเดินไปจนถึงเส้นชัยนั้น คือ นิพพาน ความทุกข์เป็นของคู่โลกมีมานานมาก แม้แต่องค์พระศาสดาพระพุทธสัมมาสัมพุทธเจ้า จะไม่อุบัติขึ้นมาในโลกนี้ทุกอย่างก็มีอยู่ก่อนแล้วทั้งสุขและทุกข์ต่างๆที่เป็นสมมติในโลกนี้ นี่คือคำที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้ให้พวกเราได้ทราบ
มาเดินตามรอยพระบาทแห่งองค์พระศาสดากันเถอะเพื่อจะได้พ้นจากกองทุกข์กันเสียที
ถ้าคนเรายังไม่รู้จักทุกข์ก็คงจะออกจากทุกข์ได้ยากและคงไม่รู้จักสุขที่แท้จริง ความสุขที่มีอยู่แบบโลกๆ นั้นไม่ใช่สุขแท้จริงเป็นเพียงสุขปลอมๆที่มีนายใหญ่คือ ตัวทุกข์เป็นผู้ชักใยบงการอยู่เบื้องหลังอย่างแยบยลซ่อนเร้นอำพรางทำจนเราตายใจรักความทุกข์อย่างถอนตัวไม่ขึ้น เราท่านก็รักชอบตัวทุกข์อย่างสนิทใจโดยไม่รู้ตัว ในโลกแห่งความเป็นจริงมีอยู่ว่า ความเกิดเป็นทุกข์ ความแก่เป็นทุกข์ ความมีโรคภัยเบียดเบียนเป็นทุกข์ การเสียของ-รักหมดความชอบใจเป็นทุกข์ การไม่ได้มาและการเสียไปเป็นทุกข์ ที่สุดตายไปยังเป็นทุกข์และตราบใดการที่ยังไม่เข้าหนทางแห่งนิพพานก็ยังต้องเป็นทุกข์ต่อไป แต่จะมีใครสดุดหยุดคิดบ้างหรือไม่ว่า อีกหนทางหนึ่งที่ทุกคนเรียกหาปราถนาขวนขวายเพื่อให้ได้มาก็เป็นทุกข์เช่นกัน คือ ความต้องการมีอายุไว้ ความไม่แก่ ไม่เจ็บ และไม่ตาย ความรัก ความร่ำรวย ความมีอำนาจวาสนา ฯลฯ ความต้องการที่ทะยานอยากต่างๆ (ตัวตัณหาอุปาทาน) ตลอดเวลาที่ไม่รู้จักอิ่มจักพอเสียที ต้องการที่ จะมี จะเป็น จะได้มา ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมากมาย ยิ่งได้ยิ่งอยากสุดท้ายยิ่งทุกข์ เป็นมหันตทุกข์เสียด้วย เมื่อพอจะเข้าใจเรื่องทุกข์แล้วต้องมาดูว่าเหตุของทุกข์เกิดจากอะไร สิ่งมีชีวิตเท่านั้นจึงรู้จักทุกข์ สิ่งที่มีจิตวิญญาณเท่านั้นจึงรู้จักทุกข์ สิ่งที่มีการเกิด-การตาย, มีกาย-มีใจ และเมื่อมีเวทนาเกิด จึงรู้ว่าทุกข์ทุรนทุรายอยากออกจากทุกข์ ขวนขวายหาวิธีออกจากทุกข์กันทั้งสิ้น
ทุกข์แบ่งออกเป็น 2 อย่าง คือ ทุกข์กาย (รูปธรรม) และทุกข์ใจ (นามธรรม)
๑. ทุกข์กาย(รูปธรรม) อันมีอาการต่างๆ ทางกาย เริ่มตั้งแต่การที่ดวงจิตมาจุติในครรถ์มารดา ก็ทุกข์แล้ว ทุกข์นั้นไปแอบแฝงและแสดงออกที่ผู้เป็นบิดา-มารดา ผู้ที่ต้องคอยถนอมรักษาลูกในท้องให้อยู่ดีมีสุข ปลอดภัย กว่าจะเจริญเติบโตแล้วคลอดออกมาอย่างปลอดภัยก็ต้องร่วมทุกข์ร่วมสุขกันยาวนานถึง 9 เดือน เริ่มต้นจาก เรื่องปากท้อง เรื่องสุขภาพ เรื่องความปลอดภัยของเด็กในครรถ์และของผู้เป็นมารดา, เรื่องของการสร้างเนื้อสร้างตัวเพื่อรองรับสมาชิกใหม่(หน้าที่นี้ส่วนใหญ่ตกอยู่กับผู้เป็นสามีหรือบิดาของเด็กในครรถ์นั้น) การวาดฝันวางเรื่องอนาคตของแต่ละครอบครัวที่ต้องดิ้นรนแสวงหาอีกมากมายนั่นคือ ความวุ่นวายรุ่มร้อนเป็นทุกข์ไปทุกลมหายใจ แล้วก็เติบโตเป็นเด็ก วัยรุ่น วัยกลางคน วัยชรา ที่สุดหมดวัยหมดอายุขัย กว่าหมดวัฏจักรแห่งชีวิตในหนึ่งรอบชาติอายุขัย นั่นคือ ตาย บทสรุปชีวิตของแต่ละคนก็ไม่เท่ากันว่ารอบของชาตินั้นๆได้ทำประโยชน์อะไรบ้างจากการที่ได้เกิดมาเป็นคนทั้งที เกิดมาชาตินี้ค้นหาคำตอบของชีวิตว่าเกิดมาทำไมเจอหรือยัง ถ้ายังไม่เจอก็กลับมาเกิดใหม่อีกไม่จบสิ้น ฟังดูไม่ซับซ้อนแต่ถ้าพิจารณาดูให้ลุ่มลึกมันไม่ใช่เรื่องที่ปล่อยไปวันๆได้เลย มันควรที่จะต้องสังวรสำรวมระวังไม่ตกอยู่ในความประมาทเลยแม้แต่น้อย
๒. ทุกข์ใจ(นามธรรม)ก่อนที่จะพูดเรื่องทุกข์ของใจก็ต้องมาลองคิดตามพระธรรมขององค์สมเด็จพระพุทธเจ้าก่อนว่าสิ่งที่พระองค์ท่านให้ความรู้แก่พวกเราเรื่อง นามธรรม คืออะไร ที่ต้องพูดเรื่องนี้เพราะ นามธรรมเป็นสิ่งที่รู้ได้ยาก สังเกตุให้รู้ตัวเห็นตัวได้ยาก พวกเรามักจะตามดูตัวทุกข์ไม่ทัน ที่ยากกว่านั้นตามดูเหตุของการเกิดทุกข์นั้นไม่ทันยิ่งกว่า กว่าเราจะรู้สึกตัวเจ้าตัวทุกข์ก็เข้ามาสิงจนเต็มหัวใจแล้วทุกครั้งไป เรียกว่าหมดทางป้องกัน ที่เหลือเป็นวิธีหาทางแก้ไขเมื่อทุกข์มาเยือน (วัวหายแล้วจึงล้อมคอก) บางทีก็พบทางแก้ไขได้ไม่ยาก บางครั้งแทบจนหนทางหมดทางเยียวยากันไปเลยก็มี
แต่ถ้าเรามาคิดตามและลดทิฐิมานะลง น้อมกายใจให้เป็นผู้ว่าง่ายและทำตามพระธรรมคำสอนขององค์พระโลกะวิทูสัมมาสัมพุทธเจ้าพระผู้ซึ่งได้ประกาศและวางรากฐานวิชาดับทุกข์ที่ยิ่งใหญ่ไว้ให้กับโลก อีกทั้งค่อยๆ ก้าวเดินตามพระองค์ท่านไปอย่างช้า ตั้งสติให้ดี ก็จะทราบชัดว่า ทุกข์เป็นเรื่องป้องกันได้แก้ไขได้ ก่อนที่จะตกเป็นเหยื่อของทุกข์เป็นรายต่อไป หรือแม้ว่าความทุกข์นั้นจะมานั่งนอนในใจในกายของเราแล้วก็ไม่เป็นเรื่องยากเกินไปที่จะแก้ไขถ้าตั้งใจจริง แต่ที่สุดมนุษย์แทบทุกคนทุกยุคสมัยก็ยังหาวิถีทางดับทุกข์ในวิธีต่างๆของตนต่อไป แล้วเมื่อไหร่ถึงจะเจอเส้นทางของการดับทุกข์อันประเสริฐขององค์พระศาสดาได้เล่า ในเมื่อท่านและเราต่างมีทิฐิมานะที่จะแสดงความเป็นผู้ว่ายากกันอยู่เช่นนี้
พระพุทธเจ้าท่านได้ค้นหาวิธีดับทุกข์อย่างประเสริฐ์และเป็นเส้นทางตรงเส้นทางเดียวที่ไปสู่ทางดับทุกข์อย่างถาวร อันบริสุทธิ์ โดยไม่ต้องกลับมาวกเวียนวนอยู่กับกองทุกข์อีกต่อไป ศาสนาพุทธเป็นศาสนาเดียวที่กล่าวถึง นิพพาน เป็นศาสนาเดียวที่กล่าวถึงกฏแห่งกรรม และเป็นศาสนาเดียวที่ยืนยันว่ามนุษย์และสัตว์ทั้งหลายต้องเป็นไปตามกรรมหรือการกระทำที่ตนทำไว้ ตนแต่เพียงผู้เดียวที่จะต้องรับมรดกกรรมที่ตนสร้างไว้ทั้งหมด นี่คือจุดเริ่มต้นหรือจุดสตาร์ทที่เราจะก้าวออกจากทุกข์
สิ่งต่อไปนี้คือทุกข์ที่ปฏิเสธได้ยากหากยังต้องกลับมาเกิดอยู่และเป็นเรื่องของทุกข์ล้วนๆที่ทุกคนประมาทหลงลืมไป
1. เรามีความแก่เป็นธรรมดาไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้
2. เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดาไม่ล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปได้
3. เรามีความตายเป็นธรรมดาไม่ล่วงพ้นความตายไปได้
4. เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจของเจริญใจทั้งหลายไปทั้งสิ้น
5. เรามีกรรมเป็นของของตน, เป็นผู้รับผลของกรรมนั้น, เรามีกรรมเป็นกำเนิด, เรามีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์, เรามีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย, เราได้ทำกรรมอันใดไว้ จะดีหรือชั่วก็ตามเราย่อมเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น.

เมื่อเข้าใจดังนี้ นี่คือสิ่งที่องค์พระศาสดาของโลกองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราได้กล่าวสอนไว้ ดังเช่นนี้ พวกเราคงออกจากทุกข์ได้แน่นอน ถ้าแม้เราเกิดทุกข์ขอเพียงมีสติ ขอเพียงใช้หลักธรรมของพระพุทธเจ้ามาเป็นที่พึ่งอาศัย เกิดเป็นปัญญา เข้าใจโลกแห่งความเป็นจริงอันเป็นธรรมชาติแท้ของชึวิต นี่เป็นหนทางอันพ้นทุกข์และถ้ายังไม่พ้นทุกข์ก็พอจะทำให้เราอยู่กับความทุกข์อย่างมีรอยยิ้มบางๆบนใบหน้าได้ เป็นยารักษาชีวิตให้ได้สร้างความดี สร้างกุศลต่อไป เพื่อที่สุดคือดับทุกข์ ดับเย็นในปัจจุบันและอนาคต อย่างแน่นอน

ขอบารมีของคุณพระศรีพระรัตนตรัยจงคุ้มครองให้พวกเรามีความสงบเย็นสว่างด้วยปัญญาด้วยเทอญ.

เกษแก้ว ศรัทธาโพธิธรรม

วันอังคารที่ ๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๑

สร้อยประคำ มณีฤทธิโชติ รุ่น 1

สร้อยประคำ มณีฤทธิโชติ รุ่น 1

สร้อยประคำ มณีฤทธิโชติ รุ่น 1 มีให้เช่าเพื่อนำไปใช้ประกอบการทำสมาธิ, การสวดมนต์ เพื่อเป็นบุญกุศลและเป็นสิริมงคลแก่ตนและครอบครัว เป็นจุดรวมของพลังในตัวขณะที่ทำการสวดมนต์ หรือกล่าวพระคาถาอันศักดิ์สิทธิ์ เช่น พุทโธ, สัมมาอะระหัง, นะ มะ พะ ทะ, นำโม กวน สี่ อิม ผ่อ สัก, นำโม ออ นี ทอ ฮุก เป็นต้น ก็แล้วแต่ความถนัดหรือจริตของแต่ละคนไม่จำเป็นต้องเลียนแบบกัน
สร้อยประคำมณีฤทธิโชติ ของบ้านบุญบ้านเกษแก้วนี้ ได้ทำการอธิฐานจิตขอพลังจากเบี้องบนองค์เทพเจ้า ครูบาอาจารย์ โดยเฉพาะองค์พระโพธิสัตว์ อวโลกิตเตศวร กวนอิมเจ้า เพื่อโปรดแผ่ให้ผู้ที่นำไปใช้เกิดพลังแห่งธรรม เพิ่มบุญบารมีส่งเสริมให้มีความเจริญรุ่งเรือง ร่ำรวย ก้าวหน้าทั้งทางโลกและทางธรรม มีแต่สิ่งดีๆเข้ามาในชีวิต ขจัดปัดเป่าความทุกข์ทั้งปวงให้เบาบางลงจนถึงที่สุดหมดไป เมื่อสมาธิเกิดปัญญาญาณก็จะตามมา ที่สุดก็สามารถหลุดพ้นได้ เกิดเป็นมรรคเป็นผลด้วยกันทุกคน สาธุ สาธุ สาธุ โอม มณี ปัทเม ฮุง / อามี ทอ ฝอ ฮุก

ส่วนประกอบของสร้อยประคำ
๑. มณีฤทธิโชติ หยาดนฤทิพย์
การร้อยเรียงสร้อยประคำ เริ่มจากหินอาเกตหรือเรียกอีกอย่าง ว่า โมรา (Agate) เป็นหินสีเทา(ความจริงมีหลายสี) ร้อยเรียงสลับด้วย คริสตัลสีรุ้ง ซี่งมีพลังทางธรรมชาติ ช่วยส่งเสริมให้มีชีวิตชีวา สดชื่นเบิกบาน มีกำลังภายในดีเมื่อนำมาติดตัวเป็นประจำ หรือยิ่งนำมาใช้ในการทำสมาธิบริกรรมพระคาถา ยิ่งเกิดพลังมาก โบราณ ถือว่าเป็นหินนำโชคทั้งสองชนิด โดยเฉพาะ คริสตัง สีรุ้ง มีคุณสมบัติเหมือน เพรช มีฤทธิในเรื่องของการดูดทรัพย์และเพิ่ม บารมีแก่ผู้สวมใส่ อีกทั้งสะท้อนสิ่งชั่วร้ายให้ไกลจากตัว พลังแห่งหินอาเกตสามารถทำให้เจ้าของและครอบครัว มีความมั่งคั่งร่ำรวย เกิดความสำเร็จนานาประการ และที่สำคัญพลังของหินอาเกตช่วยให้กายและจิตใจเยือกเย็น สุขุม ไม่รุ่มร้อน สามารถป้องกันอันตรายจากเภทภัยทางธรรมชาติ และอุบัติภัยทางทางบก น้ำ อากาศ โดยเฉพาะผู้ที่เดินทางเป็นประจำควรมีติดตัวไว้เสมอ มีพลังทางธรรม ก่อให้เกิดสติ และรู้ใฝ่ในธรรมยิ่งขึ้น
ประกอบด้วย หินอาเกตสีเทาขนาด ๖ มิล ๑๐๔ เม็ด ร้อยสลับด้วย คริสตัลสีรุ้งขนาด ๖ มิล ๔ เม็ด ชายคริสตัลสีแดง เพื่อความเป็นสิริมงคลส่งเสริมทรัพย์ให้พอกพูล ขนาด ๖ มิล 3 เม็ด ตลอดสายร้อยสลับด้วยคริสตัล สีรุ้ง ๑๐๙ เม็ด ปล่อยชาย ๒ ชายด้วยคริสตัลสีรุ้ง ๑๘ เม็ด ราคา ๑,๑๑๙ บาท
๒. มณีฤทธิโชติ หยดนพคุณ
การร้อยเรียงสร้อยประคำ เริ่มจากหินคาร์เนเลียน (Carnelian) เป็นหินสี น้ำตาลแดงแกมส้ม(ความจริงมีหลายสี) ร้อยสร้อยเรียงสลับกับ มณีใต้น้ำ ๕ สี และ คริสตัลสีรุ้ง มีสีสรรที่สดใสส่องแสงประกายงดงามหน้าสวมใส่ แสดงถึง ความสดใส สดชื่นเริงร่า ไร้ทุกข์ไร้โศกปลอดโรคา เป็นการบ่งบอกถึงการมีชีวิตที่สดใหม่เสมอ หินคาร์เนเลียนมีพลังธรรมชาติในด้าน สร้างความเชื่อมั่นในตนเอง เป็นพลังแห่งการเป็นผู้นำ เป็นผู้กล้า และเปี่ยมล้นด้วยความสุขสมหวัง ช่วยบำบัดอารมณ์ขุ่นมัวโดยเฉพาะอารมณ์แห่งความหลงและความอิจฉา แผ่รัศมีทำให้คนรอบข้างอยากเข้าใกล้และอยากมอบความรักให้กับคุณ อยากให้การอุปถัมถ์ช่วยเหลืออย่างอัศจรรย์ คริสตัล มีพลังดั่งเพชร โดยเฉพาะเรื่องของโชคลาภเงินทองจะไม่ขาดมือ มั่งมีและเพิ่มพูน มณีใต้น้ำ มีพลังด้านบวกทำให้มีเสน่ห์ และประสิทธิเรื่องโชคลาภอย่างยิ่ง ประกอบด้วย หินคาเนเลียนสีน้ำตาลแดงขนาด ๖ มิล ๙๗ เม็ด ร้อยสลับด้วย คริสตัลสีรุ้งขนาด ๖ มิล ๕ เม็ด(เปรียบดั่งตัวแทนพระเจ้า ๕ พระองค์) และ มณีใต้น้ำ ๘ เม็ด (เปรียบดั่ง อริยมรรคมีองค์ ๘) ชาย ๒ ชาย ร้อยด้วยคริสตัลสีรุ้ง รวม ๒๐ เม็ด ทั้งหมดหมายถึง การอัญเชิญความศักดิ์และความเป็นสิริมงคลของพระเจ้า ๕ พระองค์ และรวมถึงอริยมรรค มีองค์ ๘ น้อมนำเข้ามาใส่ตัวเพื่อความเจริญทั้งทางโลกและทางธรรม ให้มั่งมีศรีสุขสวัสดิมงคลนาประการ

มาสร้างบุญ¬บารมีกันเถอะ

มาสร้างบุญ-บารมีกันเถอะ

1. นั่งสมาธิอย่างน้อยวันละ 15นาที (หรือเดินจงกรมก็ได้)อานิสงส์---เพื่อสติปัญญาที่เฉลียวฉลาดขึ้นทั้งภพนี้และภพหน้าเพื่อจิตใจที่สว่างผ่อนปรนจากกิเลส ปล่อยวางได้ง่ายจิตจะรู้วิธีแก้ปัญ­หาชีวิตโดยอัตโนมัติ ชีวิตจะเจริญ­รุ่งเรืองไม่มีวันอับจนผิวพรรณผ่องใส สุขภาพกายและจิตแข็งแรงเจ้ากรรมนายเวรและ­ญาติมิตรที่ล่วงลับจะได้บุญกุศล
2. สวดมนต์ด้วยพระคาถาต่างๆอย่างน้อยวันละครั้งก่อนนอน อานิสงส์---เพื่อให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง ชีวิตหน้าที่การงานเจริ­ญก้าวหน้าเงินทองไหลมาเทมา แคล้วคลาดจากอุปสรรคทั้งปวง จิตจะเป็นสมาธิได้เร็ว แนะนำพระคาถาพาหุงมหากา,พระคาถาชินบั­ญชร, พระคาถายอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก เป็นต้นเมื่อสวดเสร็จต้องแผ่เมตตาทุกครั้ง
3. ถวายยารักษาโรคให้วัด,ออกเงินค่ารักษาให้พระตามโรงพยาบาลสงฆ์อานิสงส์---ก่อให้เกิดสุขภาพร่มเย็นทั้งครอบครัว โรคที่ไม่หายจะทุเลาสุขภาพกายจิตแข็งแรง อายุยืนทั้งภพนี้และภพหน้า ถ้าป่วยก็จะไม่ขาดแคลนการรักษา
4. ทำบุญ­ตักบาตรทุกเช้าอานิสงส์--- ได้ช่วยเหลือศาสนาต่อไปทั้งภพนี้และภพหน้า ไม่ขาดแคลนอาหารตายไปไม่หิวโหย อยู่ในภพที่ไม่ขาดแคลน ข้าวปลาอาหารอุดมสมบูรณ์
5. ทำหนังสือหรือสื่อต่างๆเกี่ยวกับธรรมะแจกฟรีแก่ผู้คนเป็นธรรมทานอานิสงส์---เพราะธรรมทานชนะการให้ทานทั้งปวง ผู้ให้ธรรมจึงสว่างไปด้วยลาถยศ สรรเสริญ­ ปัญญา และบุญ­บารมีอย่างท่วมท้น เจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรมให้ชีวิตจะเจริญ­รุ่งเรืองอย่างไม่คาดฝัน
6. สร้างพระถวายวัดอานิสงส์---ผ่อนปรนหนี้กรรมให้บางเบา ให้ชีวิตเจริ­ญรุ่งเรือง สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง แคล้วคลาดจากอุปสรรคทั้งปวง ครอบครัวเป็นสุขได้เกิดมาอยู่ในร่มโพธิ์ของพุทธศาสนาตลอดไป
7. แบ่งเวลาชีวิตไปบวชชีพรามณ์หรือบวชพระอย่างน้อย 9 วันขึ้นไปอานิสงส์--- ได้ตอบแทนคุณพ่อแม่อย่างเต็มที่ผ่อนปรนหนี้กรรมอุทิศผลบุ­ให้­ญาติมิตรและเจ้ากรรมนายเวร สร้างปัจจัยไปสู่นิพพานในภพต่อๆไป ได้เกิดมาอยู่ในร่มโพธิ์ของพุทธศาสนาจิตเป็นกุศล
8. บริจาคเลือดหรือร่างกายอานิสงส์---ผิวพรรณผ่องใส สุขภาพแข็งแรง ช่วยต่ออายุต่อไปจะมีผู้คอยช่วยเหลือไม่ให้ตกทุกข์ได้ยาก เทพยดาปกปักรักษาได้เกิดมามีร่างกายที่งดงามในภพหน้า ส่วนภพนี้ก็จะมีราศีผุดผ่อง
9. ปล่อยปลาที่ซื้อมาจากตลาดรวมทั้งปล่อยสัตว์ไถ่ชีวิตสัตว์ต่างๆ อานิสงส์---ช่วยต่ออายุ ขจัดอุปสรรคในชีวิต ชดใช้หนี้กรรมให้เจ้ากรรมนายเวรที่เคยกินเข้าไป ให้ทำมาค้าขึ้นหน้าที่การงานคล่องตัวไม่ติดขัด ชีวิตที่ผิดหวังจะค่อยๆฟื้นคืนสภาพที่สดใสเป็นอิสระ
10. ให้ทุนการศึกษา,บริจาคหนังสือหรือสื่อการเรียนต่างๆ,อาสาสอนหนังสือ อานิสงส์---ทำให้มีสติปั­­าดี ในภพต่อๆไปจะฉลาดเฉลียวมีปั­­ญญา ได้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียนอย่างรอบรู้ สติปั­­ญญาสมบูรณ์พร้อม
11. ให้เงินขอทาน,ให้เงินคนที่เดือดร้อน(ไม่ใช่การให้ยืม)อานิสงส์---ทำให้เกิดลาภไม่ขาดสายทั้งภพนี้และภพหน้า ไม่ตกทุกข์ได้ยาก เกิดมาชาติหน้าจะร่ำรวยและไม่มีหนี้สิน ความยากจนในชาตินี้จะทุเลาลงจะได้เงินทองกลับมาอย่างไม่คาดฝัน
12. รักษาศีล 5 หรือศีล 8 อานิสงส์---ไม่ต้องไปเกิดเป็นเปรตหรือสัตว์นรก ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐครบบริบูรณ์ ชีวิตเจริญ­รุ่งเรืองกรรมเวรจะไม่ถาโถม ภัยอันตรายไม่ย่างกราย เทวดานางฟ้าปกปักรักษา อานิสงส์ 10 ข้อของการไม่กินเนื้อสัตว์
12.1. เป็นที่รักของบรรดาเทพ พรหม ตลอดจนมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย
12.2. จิตอันเป็นมหาเมตตาย่อมบังเกิดขึ้น
12.3. สามารถตัดขาดความอาฆาต ดับอารมณ์เหี้ยมโหดเครียดแค้นในใจลงได้
12.4. ปราศจากโรคภัยร้ายแรงมาเบียดเบียนร่างกาย
12.5. มีอายุมั่นขวัญ­ยืน
12.6. ได้รับการปกป้องคุ้มครองจากเทพทั้งปวง
12.7. ยามหลับนิมิตเห็นแต่สิ่งที่ดีงามเป็นสิริมงคล
12.8. ย่อมระงับการจองเวร สลายความอาฆาตแค้นซึ่งกันและกัน
12.9. สามารถดำรงอยู่ในกระแสพระนิพพาน ไม่พลัดหลงตกลงสูอบายภูมิ
12.10. ทันทีที่ละสังขารจากโลกนี้ จิตจะมุ่งสู่สุคติภพอานิสงส์การจัดสร้างพระพุทธรูปหรือสิ่งพิมพ์อันเกี่ยวกับพระธรรมคำสอนเป็นกุศลดังนี้
10.1.1. อกุศลกรรมในอดีตชาติแต่ปางก่อน จะเปลี่ยนจากหนักเป็นเบา จากเบาเป็นสูญ ­
10.1.2. สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง สรรพภยันตรายสลาย ปวงภัยไม่มีคนคิดร้ายไม่สำเร็จ
10.1.3. เจ้ากรรมนายเวรในอดีตชาติแต่ปางก่อน เมื่อได้รับส่วนบุ­ญไปแล้วก็จะเลิกจองเวรจองกรรม
10.1.4. เหล่ายักษ์ผีรากษส งูพิษเสือร้าย ไม่อาจเป็นภัยอยู่ในที่ใดก็แคล้วคลาดจากภัย
10.1.5. จิตใจสงบ ราศีผ่องใส สุขภาพแข็งแรง กิจการงานเป็นมงคล รุ่งเรืองก้าวหน้าผู้คนนับถือ
10.1.6. มั่นคงในคุณธรรม ความอุดมสมบูรณ์ปรากฏ (เกินความคาดฝัน) ครอบครัวสุขสันต์วาสนายั่งยืน
10.1.7. คำกล่าวเป็นสัจจ์ ฟ้าดินปราณี ทวยเทพยินดี มิตรสหายปรีดา หนี้สินจะหมดไป
10.1.8. คนโง่สิ้นเขลา คนเจ็บหายได้ คนป่วยหายดี ความทุกข์เข็ญหายไป­สตรีจะได้เกิดเป็นชายเพื่อบวช
10.1.9. พ้นจากมวลอกุศล เกิดใหม่บุญ­เกื้อหนุน มีปัญญ­­าล้ำเลิศ บุ­ญกุศลเรืองรอง
10.1.10.สิ่งที่สร้างจะบังเกิดเป็นกุศลจิตแก่ทุกคนที่ได้พบเห็นเป็นเนื้อนาบุญ­อย่างเอนกทุกชาติของผู้สร้างที่จะได้ฟังธรรมจากพระอริยเจ้า เกิดปัญญ­­าในธรรมแก่กล้าสามารถได้อภิ­­ญญาหก สำเร็จโพธิ­ญาณอานิสงส์การบวชพระบวชชีพรามณ์ (บวชชั่วคราวเพื่อสร้างบุ­ญ , อุทิศให้พ่อแม่เจ้ากรรมนายเวร)
1. หน้าที่การงานจะเจริญ­รุ่งเรือง ได้ลาภ ยศ สรรเสริญ­ตามปรารถนา
2. เจ้ากรรมนายเวรจะอโหสิกรรม หนี้กรรมในอดีตจะคลี่คลาย
3. สุขภาพแข็งแรง สติปัญญ­­าแจ่มใส ปัญ­หาชีวิตคลี่คลาย
4. เป็นปัจจัยสู่พระนิพพานในภพต่อๆไป
5. สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง โพยภัยอันตรายผ่อนหนักเป็นเบา
6. จิตใจสงบ ปล่อยวางได้ง่าย มองเห็นสัจธรรมแห่งชีวิต
7. เป็นที่รักที่เมตตามหานิยมของมวลมนุษย์มวลสัตว์และเหล่าเทวดา
8. ทำมาค้าขึ้น ไม่อับจน การเงินไม่ขาดสายไม่ขาดมือ
9. โรคภัยของตนเอง ของพ่อแม่ และของคนใกล้ชิดจะเบาบางและรักษาหาย
10. ตอบแทนพระคุณของพ่อแม่ได้เต็มที่ สำหรับผู้ที่บวชไม่ได้เพราะติดภาระกิจต่างๆ ก็สามารถได้รับอานิสงส์เหล่านี้ได้ด้วยการสร้างคนให้ได้บวชสนับสนุนส่งเสริมอาสาการ ให้คนได้บวช ทั้งหมดนี้เป็นเพียงตัวอย่างบุ­ญที่ยกขึ้นมาเพื่อแสดงให้เห็นถึงอานิสงส์ที่ท่านพึงจะได้รับจงเร่งทำบุญ­เสียแต่วันนี้ เพราะเมื่อท่านล่วงลับท่านไม่สามารถสร้างบุญ­ได้อีกจนกว่าจะได้เกิด หากท่านไม่มีบุญ­มาหนุนนำแรงกรรมอาจดึงให้ท่านไปสู่ภพเดรัจฉาน ภพเปรต ภพสัตว์นรกที่ไม่อาจสร้างบุญ­สร้างกุศลได้ต่อให้­ญาติโยมทำบุ­ญอุทิศให้ก็อาจไม่ได้รับบุญ­ ดังนั้นท่านจงพึ่งตนเองด้วยการสร้างสมบุญ­บารมีซึ่งเป็นทรัพย์สินที่ท่านจะนำติดตัวไปได้ทุกภพทุกชาติเสียแต่วันนี้ด้วยเทอญ.­