ชีวิตที่สดใส
ทำอย่างไรชีวิตถึงดีขึ้น เป็นคำถามโลกแตกที่ได้ยินตลอดเวลา ทุกชาติทุกภาษา ทุกชนชั้น พูดคำนี้หมด บางท่านพูดจนจำไม่ได้ว่าในหนึ่งชีวิตได้เอ่ยคำนี้มากี่ครั้งแล้ว นั่นสิ ทำอย่างไรชีวิตนี้จึงจะดีขึ้น บางคนบนบานศาลกล่าวขอให้มีชีวิตดีเถิด จะแก้บนด้วยนั่นนี่ตามกำลังฐานะของแต่ละคน หวังพึ่งพาอาศัยอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้เกิดกำลังใจเป็นความหวังแบบหวังน้ำบ่อหน้า ท่านหลวงปู่โตพรหมรังสี เคยกล่าวไว้ว่า อย่าได้ขอบารมีจากใครเลย เพราะเมื่อท่านไม่สร้างด้วยตนเองแล้วจะหวังให้ใครช่วย หากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยได้จริงๆ แล้วต่อไปภายหน้าจะเอาทุนบุญกุศลที่ไหนมาชดใช้คืนให้กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ ในเมื่อเราไม่ได้มีไม่ได้สร้างด้วยตัวเอง มัวแต่ขอและหยิบยืมของคนอื่นตลอดเวลาเช่นนี้
ที่จริงแล้วชีวิตของเรานั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับใครทั้งสิ้น ตัวเรานี่แหละเป็นเจ้าของไม่ว่าเราจะสุขหรือทุกข์ ร่ำรวยหรือยากจน มีร่างกายครบสามสิบสองหรือพิกลพิการ สวยงามหรือขี้เหล่สักปานใดล้วนเป็นเรื่องของบุญธรรมกรรมแต่งทั้งสิ้น หากเราเข้าใจเพียงเท่านี้ทุกอย่างย่อมเสกสรรได้ด้วยสองมือกับหนึ่งหัวใจนี่แหละ เพียงแต่ที่ผ่านมาเราไม่เข้าใจเรื่องของบุญธรรมกรรมแต่ง ปล่อยให้ชีวิตเป็นไปตามเวรตามกรรมอย่างไม่มีเข็มทิศนำทาง ไม่คิดจะเป็นสถาปนิกชีวิตกันบ้างเลย บ้านช่องก็ต้องการคนตกแต่งดูแล ชีวิตก็ต้องการการตกแต่งดูแลเช่นกัน ความจริงพูดแค่นี้ก็เข้าใจในธรรมได้แล้ว (สำหรับคนที่ปฏิบัติธรรมมาบ้าง ยิ่งถ้าใครปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัดยิ่งเป็นสถาปนิกมือเอกเลยทีเดียว)
ลองมาตั้งต้นคิดหาสิ่งตกแต่งชีวิตที่วิจิตรในทางบุญกันดูบ้างเป็นไร เริ่มจากการซื้อที่ดิน เคยได้ยินไหมว่า ทำบุญกับผู้ทรงธรรมบริสุทธิ์ย่อมได้บุญสูงยิ่งถ้าได้ทำกับพระปัจเจกเมื่อตอนที่ท่านออกจากสมาบัติใหม่ๆยิ่งเป็นมหากุศลอันยิ่งหาสิ่งใดเทียมได้ เมื่อมีที่นาแล้วก็ตามด้วยการไถคราด หาเมล็ดพันธ์ชั้นดีชนิดให้ผลเกรดเอมาเพาะปลูก และเมื่อบำรุงเลี้ยงจนกลายเป็นต้นกล้าแล้วก็ต้องบำรุงใส่ปุ๋ย ป้องกันแมลงและวัชพืช (ความชั่ว กิเลสมารทั้งหลาย) รดน้ำพรวนดิน(คือการเร่งสร้างความดี สร้างบุญกุศลให้มาก) ที่สุดเก็บเกี่ยวผลผลิต (คือได้รับบุญที่ตนทำมาทำให้มีแต่ความสุขความเจริญทำอะไรก็ประสพผลสำเร็จ) สาธยายมามากมายเหมือนขับรถอ้อมโลกจุดประสงค์ไม่มีอะไรมาก ก็แค่อยากบอกว่า ชีวิตคนก็เหมือนต้นไม้ควรเอาใจใส่ดูแลเป็นอย่างดี ถ้าทอดทิ้งเสียแล้วก็ยากที่จะได้ผลผลิตที่ดีเยี่ยม
จากบรรทัดนี้ไป เรามาช่วยกันปลูกต้นไม้แห่งชีวิตกันดีกว่าเรียกต้นไม้นี้ว่า “ต้นบุญต้นกุศล”ดี หรือเรียกว่า “ต้นไม้แห่งชีวิต” ดี เอาไว้ตอนจบค่อยมาคิดอีกทีจะดีไหม ใครจะตั้งชื่ออะไรตามที่ตนเองรู้สึกว่าใช่ตามใจปรารถนา ชีวิตคนหนึ่งคนสะสมบุญบาปมานับชาติไม่ถ้วนเป็นแสนกัปกัลป์ พอมาถึงชาตินี้หวังจะเปลี่ยนชีวิตให้ดีดังพลิกฝ่ามือกันในชาติเดียวคงเป็นไปไม่ได้ ลองเปรียบเทียบกับเสื้อผ้าสีขาว หรือผ้าขาว ทำไมคนถือศีลจึงต้องนุ่งห่มผ้าขาว นั่นก็เป็นปริศนาธรรม ทำไมไม่ใส่สีอื่นซึ่งดูแลรักษาง่ายกว่าตั้งเยอะ เข้าไปรักษาศีลที่วัดนอนกับดินกินกับทราย ยืน เดิน นั่ง นอนล้วนติดดินทั้งสิ้น เปรอะเปื้อนง่ายแต่ก็สามารถรักษาให้สะอาดได้ดี ทั้งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ นั่นเพราะผู้ถือศีลมีการสำรวมระวังเป็นพิเศษในอิริยาบถทั้งสี่ โดยเฉพาะการรักษาใจ จะคิด พูด อ่าน เขียน ล้วนต้องเป็นบุญไม่ให้เกิดเป็นโทษเป็นบาป เพราะนั่นถึงท่านจะใส่เสื้อผ้าสีขาวตลอดชีวิต ท่านก็ยังเป็นคนบาปอยู่ดีหากท่านไม่คิดหรือทำในสิ่งที่ดี มัวแต่คิดจะเบียดเบียนผู้อื่นไม่เว้นแต่ละวัน เหมือนหาไฟนรกมาใส่ไว้ในอกในใจ ซึ่งคนประเภทนี้มีอยู่ไม่น้อย เป็นเหลือบในพระศาสนาเป็นอย่างยิ่ง เคยได้ยินคำพังเพยที่ว่า “นกกระยางขาวปลอดตลอดตัวก็ยังกินปลา” หรือไม่ หากเคยได้ยินคงซาบซึ้งถึงข้อธรรมอันนี้ได้เป็นอย่างดีทีเดียว คนจะขาวสะอาด หรือเป็นผู้ดีไม่ใช่ที่ใบหน้าหรือฐานะทางสังคม มันต้องเกิดมาจากภายในจิตใจที่ได้สั่งสมอบรมมาแล้วตั้งแต่อดีตชาติจนชาติปัจจุบัน คำว่าสันดาน ไม่ใช่คำหยาบคายแต่เป็นคำโบราณ ที่หมายถึงนิสัยที่สั่งสมมานาน จนกลายเป็นสันดาน และอีกคำคือ คำว่าวาสนา นั้นก็มิได้แปลว่า การมีวาสนาเหนือคนอื่นอย่างที่เข้าใจกันทั่วไป ความจริงคำว่าวาสนาหมายถึง การที่เราสั่งสมอุปนิสัยความเคยชินทั้งดีทั้งชั่วมานับชาติไม่ถ้วน แล้วกลั่นออกมาเป็นวาสนาในปัจจุบันชาติ เช่นบางท่านหน้าตาดีสวยสดงดงาม แต่มารยาทแสนทราม นั่นก็เพราะสะสมความหยาบกระด้างแห่งกมลสันดานไว้อย่างหนาแน่น เกิดมากี่ชาติถ้าไม่แก้ไขนิสัยใหม่แล้วยากเต็มทีที่จะรักษาให้หายได้คงติดตัวไปจนกาลนาน การแก้นิสัยตั้งแต่บัดนี้ย่อมเป็นการแก้กรรมไปในตัว และที่สุดก็แก้นิสัยอันเป็นเหตุแห่งวาสนาในอนาคต หรือวาสนาที่ดีจะได้เกิดกับท่านในชาติหน้านั้นเอง มานับหนึ่งกันเถิด
ไม่ว่าในปัจจุบันนี้ท่านจะมีอายุเท่าไรก็ตามมาเกิดใหม่กันเถอะยังทัน ทุกอย่างต้องมีการปรับปรุงแก้ไข และมีกฎเกณฑ์ระเบียบข้อบังคับ หากไม่มีกฎระเบียบเสียแล้วย่อมเละเทะ หาความเจริญก้าวหน้าได้ยาก เพราะอยู่อย่างไร้ระเบียบ
ทำไปทำมาพากันจัดทัวร์นรกกันอย่างรื่นเริง นรกมันถึงล้นด้วยวิญญาณคนชั่วไง นรกแตก ผีนรกเลยหลุดมาอยู่บนโลกทั่วทุกหัวระแหงอย่างทุกวันนี้ พาเอาคนดีหนีเข้าป่ากันไปหมดคนชั่วเลยครองเมือง
กำหนดใจเป็นสิ่งแรก นั่นคือ เริ่มคิดว่าใจเราดี ทำแต่สิ่งดีๆ และจะพูดก้อพูดแต่สิ่งที่ดี มีความเมตตาต่อตนเองและผู้อื่น ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่นอีกด้วย คงเคยได้ยินคำว่า ใจเป็นนายกายเป็นบ่าว กันมาบ้างแล้ว นั่นเป็นสัจจะจริง หรือ บางท่านก็คงเคยได้ยินคำว่า ทุกอย่างสำเร็จได้ที่ใจ หากใจยังสู้ทุกอย่างย่อมไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ในประวัติศาสตร์ หลายครั้งที่ความพินาศการเสียเอกราชเกิดขึ้นจากความแตกสามัคคีของคนในชาติเป็นสาเหตุสำคัญ แตกความสามัคคีเพราะใจมันแตกมันไม่รวมเป็นใจเดียวกัน ต่างคนต่างคิดต่างคนต่างทำ ต่างคนต่างแข่งแย่งบุญวาสนา ไม่โอบอุ้มไม่เมตตาต่อกัน ล้วนอยากเป็นใหญ่ไม่มีใครยอมเป็นเล็ก นั่นแหละหนทางแห่งความพินาศ บ้านเมืองพังวอดวายเสียเอกราชก็เพราะใจที่หยาบช้าไม่รู่จักเสียสละไม่รู้จักการให้ มันมีแต่อยาก อยากได้ อยากมี อยากเป็น ไม่รู้จักพอ เลยกอบโกยเอาความชั่วใส่ตัว เห็นผิดเป็นชอบอยู่เสมอเป็นปกติ สะสมวาสนาชั่ว เป็นนิสัยใหม่ในชาติต่อไป กลายเป็นอาชญากรสังคมคนสำคัญบ้าง ไม่สำคัญบ้าง ตามวาสนาชั่วที่สะสมมา บางคนสะสมความมีจิตดี ใจดี ใจบุญ ใจมีเมตตาไม่กล้าทำความชั่ว ไม่กล้าแม้แต่จะคิดชั่ว เมื่อไม่คิดเสียแล้ว ใจก็ไม่สั่งให้กายทำชั่ว วาจาก็ไม่ชั่ว รวมแล้ว สะสมวาสนาบารมีแต่ดีๆไว้ ชาติหน้าวาสนาดีเป็นคนวาสนาดีไปทุกสิ่งอย่าง ทำอะไรก็มีแต่ความสำเร็จก้าวหน้า เข้าหลักธรรมที่ว่า ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว เป็นคำที่ได้ยินมาเนิ่นนานประมาณกาลไม่ได้ แต่คำนี้เป็นคำอมตะใช้ได้ทุกยุคทุกสมัย
สรุป แทนที่เราจะมานั่งบ่นว่าเมื่อไรชีวิตถึงจะดีขึ้น หรือเที่ยวบนบานศาลกล่าวรอฟ้าบันดาล สู้เรามาเปลี่ยนวิถีชีวิตด้วยสองมือกับหนึ่งสมองของเราเองจะดีกว่า ที่ว่าตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน พระพุทธเจ้าไม่เคยตรัสสอนให้ใครหวังพึ่งลมๆ แล้งๆ แต่ที่เราได้ยินเสมอคือให้พึ่งตนเอง ให้เชื่อในกฎแห่งกรรม กรรมคือการกระทำ การกระทำคือกรรม ใครทำใครได้ไม่สามารถยกให้แก่กัน ดังนั้นถ้าอยากเป็นเศรษฐีก็ต้องขยันและรู้จักใช้จ่าย รู้จักการเรียนรู้ในโลกแห่งธุรกิจ รู้จักหาโอกาสที่จะทำกำไร หูตากว้างไกล หรือบางคนชอบความสงบ อยากเป็นผู้รู้แตกฉานในวิชาธรรมก็ต้องลงมือปฏิบัติธรรม ไม่ใช่เก่งแต่ทฤษฎี และเก่งวิพากษ์วิจารณ์ คอยจ้องจับผิดในธรรมของคนอื่น แทนที่จะจับที่ใจของตนเองตามดูจิตให้ทันว่า ขณะนี้จิตติดดี(อาการฟู) หรือ จิตติดชั่ว(อาการแฟบ) หรือจิตเฉย(ไม่ฟูไม่แฟบ) มองหาข้อบกพร่องของตนเองว่ายังอ่อนในธรรมข้อไหน ควรเร่งพัฒนาปฏิบัติธรรมข้อไหนให้ก้าวหน้า เร่งหาทางหลุดพ้น ไม่ใช่มองหาแต่พระนิพพานในฝันส่วนชีวิตจริงทำตนวิ่งหาขุมนรก เคยเห็นบางคนเข้าวัดไปปฏิบัติธรรม แต่ยังไปนินทาเรื่องของชาวบ้าน เรื่องของลูกเขย-ลูกสะใภ้ ไปรดน้ำมนต์สะเดาะเคราะห์ ไปหาหวยกับพระอาจารย์ดัง ไม่เคยเคารพในธรรมที่ว่า ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว หนักไปกว่านั้น บางคนหลงรูปพระรูปชี ไม่เห็นหน้ากินข้าวไม่ลง นอนไม่หลับก็มี พาให้ศาสนาเสื่อมก็เพราะไอ้พวกจัญไรทั้งหลายเหล่านี้แหละ
ความดี วาสนาดี ชะตาชีวิตดี ล้วนเกิดขึ้นได้ด้วยตัวเรา มีแต่เราเท่านั้นที่เป็นผู้สร้างประวัติศาสตร์ มีแต่คนเท่านั้นที่สร้างประวัติศาสตร์ ทั้งของตนเองและของผู้อื่น สัตว์อื่นสร้างประวัติศาสตร์ไม่ได้ เพราะสัตว์เดรัจฉานไม่มีภาษา สื่อสารเป็นอักษรไม่ได้ แม้แต่ในนรกยังมีประวัติศาสตร์ให้ได้ศึกษาเลย นั่นก็คือบัญชีบุญ-บาปของแต่ละคนมันคือประวัติศาสตร์ที่ท่านเขียนไว้เองทั้งสิ้น ส่วนเทวดาเป็นเพียงผู้อ่านให้ท่านฟังก็เท่านั้น
หวังว่าตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปท่านคงเป็นบุคคลอีกผู้หนึ่งที่เขียนประวัติศาสตร์อันมีค่าไว้ให้อนุชนรุ่นหลังได้ศึกษาต่อไป อยากเห็นท่านมีวาสนาดีด้วยกันทุกคน ขอธรรมจงรักษาท่านไปทุกชาติตลอดจนก้าวเข้าสู่พระนิพพานเทอญ
เกษแก้ว ศรัทธาโพธิธรรม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น