เรื่องที่ ๕ กรรมจากการทำแท้ง
“กิจโฉ มนุษะ ปฏิภาโพธิ์” การเกิดเป็นมนุษย์นั้นแสนยาก เป็นพระพุทธพจน์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในครั้งหนึ่งพระสารีบุตรเคยทูลถามพระพุทธองค์ว่า...
“การจะเกิดเป็นมนุษย์นั้นมีโอกาสมากน้อยเพียงใดพระเจ้าข้าฯ” พระพุทธ์องค์ไม่พูดอะไรเลย แต่ทรงใช้นิ้วมือแตะลงบนพื้นดินแล้วชูขึ้น ตรัสตอบกับพระสารีบุตรว่า
“มีเพียงแค่นี้....สารีบุตร”นั้นหมายถึงสรรพสัตว์ที่ต้องไปเวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆมีจำนวนมากเทียบเท่ากับดินทั่วไปทั่วพื้นปฐพี แต่ที่สามารถเกิดเป็นมนุษย์ได้....มีเพียงแค่ดินที่ติดปลายนิ้วของพระพุทธองค์เท่านั้น
ทำแท้ง คือ การฆ่าคน เป็นฆาตกรฆ่าลูกในไส้ของตนเอง ไม่ว่าผู้นั้นจะขึ้นชื่อว่าแม่หรือพ่อล้วนเป็นหุ้นส่วนกรรมมหันต์นี้ด้วยกันทั้งคู่ ไม่ต้องโยนบาปให้กันและกัน ไม่ต้องโยนผิดป้ายโทษว่าใครเป็นต้นเหตุ สุดท้ายได้รับกรรมอย่างสาสมด้วยกันทั้งคู่ ความจริงเรื่องการทำแท้งเป็นผลสุดท้ายของความชั่วที่ได้รับการไตร่ตรอง วางแผนทำลายหลักฐานการก่อความชั่ว ส่วนเหตุนั้นมาจากการที่บุคคลขาดการสำรวม ทั้งกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม เห็นความมักมากในกามอารมณ์เป็นของสนุกอย่างไร้ยางอาย ขาดความศรัทธาและขาดความเคารพในธรรม ไม่เชื่อเรื่องบาปบุญคุณโทษ ความประพฤติที่ประมาทท้าทายต่อธรรม ไม่เกรงกลัวไม่ละอายต่อบาปใดๆ ทั้งสิ้น บาปที่มีโทษหนักที่สุด ๕ ประการ คือ ฆ่าบิดา ฆ่ามารดา ฆ่าพระอรหันต์ ทำให้สงฆ์แตกแยก ทำร้ายพระวรกายพระพุทธเจ้าห้อเลือด ดังนั้น การทำแท้งจึงมีบาปเท่ากับการฆ่าพระอรหันต์ เหตุเพราะ เด็กในครรถ์ยังบริสุทธิ์ มิเคยได้สร้างบาปกรรมใดๆ เลย และไม่มีเหตุปัจจัยของการสร้างกรรม ชีวิตของเขาจึงบริสุทธิ์ดั่งพระอรหันต์ ดังนั้น การทำแท้งฆ่าเด็กทารกในครรถ์หนึ่งคนจึงมีบาปเท่ากับฆ่าพระอรหันต์หนึ่งพระองค์ การฆ่ามนุษย์นั้นว่าบาปมากแล้ว แต่การฆ่าเด็กทารกที่บริสุทธิ์เป็นบาปหนักยิ่งกว่า
ผลกรรมจากการทำแท้ง พระพุทธองค์ยังได้ตรัสอีกว่า ผู้ที่เคยทำแท้ง ขณะมีชีวิตจะได้รับผลกรรมสนองจากโรคร้าย ป่วยหนัก อายุสั้น การถูกขัดขวางไม่ให้พบความเจริญ ความฉิบหายมาสู่ตนอย่างหาสาเหตุไม่ได้ ครั้นจบชีวิตแล้วจิตวิญญาณต้องได้รับโทษทัณฑ์ที่แสนสาหัสในนรกภูมิเป็นเวลาอันยาวนานมิอาจประมาณได้ และยิ่งถ้าหากเด็กผู้ตายนั้นมีจิตอาฆาตพยาบาทด้วยแล้วยิ่งลำบากหนัก เพราะจิตอาฆาตนั้นจะเฝ้าจองเวรกันทุกลมหายใจเข้าออก ทำให้ชีวิตไม่เป็นสุขทุกข์ทรมานต้องพบกับความล้มเหลวอย่างไม่หน้าจะเป็นไปได้ หรือบางท่านพบแต่ความทุกข์ระทม ล้มละลายทั้งชีวิตการงานและชีวิตครอบครัวหาความสงบสุขได้ยาก ต้องชดใช้กรรมกันอย่างสาสม จนกว่าแรงกรรมนั้นจะได้ชำระกันจนหมดสิ้น หรือ จนกว่าเป็นที่เพียงพอของจิตวิญญาณนั้น ที่สุดยกให้เป็นอโหสิ
มีตัวอย่างเกี่ยวกับการทำแท้งไว้ให้เป็นอุทาหรณ์ บางท่านอ่านแล้วอาจจะไม่รู้สึกอะไร แต่บางท่านถ้ารู้สึกว่าเรื่องบาปกรรมมันน่ากลัวก็ควรรีบละบาปและเร่งสร้างบุญให้จงมากจะดีกว่าเคยมีสตรีหลายท่านที่เคยมีประสพการณ์ในการทำแท้งมาเล่าให้ฟัง ในขณะที่ดิฉันได้ตรวจดวงชะตาพบว่าเคยทำแท้งมา เป็นเหตุให้ชีวิตในปัจจุบันล้มเหลวตลอด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องครอบครัว สุขภาพ หรือการงาน ล้วนพบแต่ความวิบัติอันสืบมาจากกรรมที่เคยทำแท้ง เช่น ผู้หญิงคนหนึ่งเมื่อสมัยที่เธอยังเป็นสาววัยรุ่นอยู่ได้พบรักกับชายวัยรุ่นวัยคนอง และได้เสียกันก่อนวัยอันควร แต่ขาดความระมัดระวังจึงตั้งท้อง และด้วยวัยละอ่อนจึงไม่สามารถดูแลรับผิดชอบกับสิ่งที่ตนกระทำลงไปได้ จึงต้องกำจัดสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ตั้งใจทำให้เกิด นั่นคือลูกในท้อง ด้วยการทำแท้ง ต่อมาเธอก็แต่งงานใหม่อย่างมีหน้ามีตากับสามีอีกคนแต่ไม่นานสามีก็เริ่มนอกใจ และมักทำร้ายเธอเสมอแต่ไม่ยอมเลิกลา เวลาดื่มเหล้าแล้วชอบซ้อมเมียเป็นกิจวัตร จะเลิกก็เลิกไม่ได้ ต่อมาไม่นานยังบังคับเอาเงินทองจากเธอไปจนหมดทำให้เธอต้องเป็นหนี้สินมากมาย และสุดท้ายก็เลิกกันโดยไม่มีบุตรด้วยกันทั้งที่อยู่กันมา 5 ปี ผ่านไปไม่นาน เธอแต่งงานใหม่พบชายคนใหม่ก็มีชีวิตที่ไม่สุขสบายอีกเช่นเดิม นรกอยู่ในอกตลอดเวลาจนวันหนึ่งเมื่อมาพบดิฉัน และได้ตรวจกรรมจึงยอมรับสารภาพว่า เคยทำแท้งมาจากการที่รักสนุกในเรื่องกาม เป็นเหตุให้มีชีวิตอับจนเช่นนี้ ก็แนะนำให้เธอไปรักษาศีล และหมั่นทำบุญ อีกทั้งให้ขมากรรมกับเจ้ากรรมนายเวร ให้ละอายเกรงกลัวต่อบาปอย่าได้ทำเช่นนั้นอีกต่อไป จนสุดท้ายที่ได้พบกัน เธอบอกว่า เดี๋ยวนี้ได้พบสามีคนใหม่เป็นคนที่ 3 ซึ่งดีกับเธอมากแต่ไม่สามารถมีลูกด้วยกันได้เพราะเธอได้ตัดมดลูกทิ้งไปแล้วตั้งแต่ตอนอยู่กับสามีคนที่ 2 เพราะเนื้องอกและมดลูกอักเสบอย่างแรง นี่แหละ กรรม
สรรพสัตว์ทุกชนิดในโลกนี้ล้วนรักชีวิตของตนทั้งสิ้น เช่นเดียวกับที่ตัวเราก็รักชีวิตของเราดุจเดียวกัน
จงมีเมตตา และให้ความเคารพในชีวิตของกันและกันเถิด สันติสุขจะเกิดได้เมื่อทุกสรรพสัตว์เคารพในธรรม
จงรักชีวิตของผู้อื่นให้เหมือนรักชีวิตตนเอง
เกษแก้ว ศรัทธาโพธิธรรม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น