วันพุธที่ ๑๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๑

การอยู่ร่วมกับทุกข์อย่างมีความสุข

การอยู่ร่วมกับทุกข์อย่างมีความสุข


ทุกข์ เป็นคำที่ทุกคนรังเกียจไม่อยากได้เป็นเจ้าของ ต่างพากันผลักไสทุกข์ให้ออกไปไกลตัว ความทุกข์เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องเคยมีประสพการณ์กับมันมาทั้งสิ้น แต่ถ้าคิดให้ดีทุกข์เป็นเพื่อนแท้ที่ไม่ยอมทิ้งเราไปง่ายๆคอยติดตามเราไปทั่วทุกหนแห่ง ทุกลมหายใจเข้าออก เป็นเงาตามตัวที่ซื่อสัตย์จงรักภักดียิ่งกว่าอะไรทั้งมวล บางครั้งตัวทุกข์ก็แสดงตัวเป็นเจ้านายที่มีเดชมีอำนาจเหนือเราจนเราจนไม่สามารถบังคับตัวเองได้และจะปฏิเสธความทุกข์ไม่ให้มีกับเราก็ไม่ได้อีก แต่ที่แน่ๆความทุกข์ช่างจงรักภักดีกับเราเหลือเกินคอยอยู่ในใจ-ในกายของเราตลอดเวลาไล่เท่าไรก็ไม่ไป ดื้อด้านจริงหนอ!
ทุกข์ เป็นเหตุให้เกิดการเรียนรู้ เป็นเหตุให้เห็นความจริงที่มีอยู่ในโลก เป็นเหตุให้สำเร็จมรรคผลนี่คือ สิ่งที่องค์พระสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ พระองค์ท่านได้เห็นทุกข์ที่ทุกคนไม่อยากได้ไม่อยากพบเห็น และสิ่งที่ท่านเห็นนั้นเป็นสิ่งที่เป็นธรรมดาเหลือเกินสำหรับพวกเรา ความเกิด แก่ เจ็บ ตายเป็นเรื่องธรรมชาติจนเรามองข้ามไป แต่องค์พระสรรพพัญญูพระบรมบิดาแห่งเราท่านได้เห็นแล้วพิจารณาว่านี่เป็นทุกข์ที่ยิ่งใหญ่ เกิดความสงสารสุดประมาณจนต้องหาทางดับทุกข์นั้นให้ได้ พระองค์ทรงเสียสละทุกอย่างที่มี เพื่อที่จะได้แสวงหาหนทางแห่งความดับทุกข์นั้นเดิมพันกันด้วยชีวิตเลยทีเดียว ที่สุดพระบรมศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้พบวิธีพ้นทุกข์หนทางแห่งความสุขที่สงบเย็นอย่างไม่เหลือเชื้อแห่งไฟ(ไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ) อีก ท่านได้สำเร็จวิชาการก้าวออกจากทุกข์แล้วท่านก็ทรงมีน้ำพระทัยที่เปี่ยมไปด้วยพระกรุณาอย่างที่สุด ที่จะช่วยให้เราทั้งหลายสรรพสัตว์ในโลกนี้ได้เดินตามก้าวไปสู่หนทางแห่งการพ้นทุกข์นั้นด้วยแต่หนทางนี้ทุกคนต้องเดินเอง ไม่สามารถไหว้วานหรือฝากให้ใครทำแทนได้ อีกทั้งต้องมีความตั้งใจอย่างสูงสุดที่จะก้าวเดินไปจนถึงเส้นชัยนั้น คือ นิพพาน ความทุกข์เป็นของคู่โลกมีมานานมาก แม้แต่องค์พระศาสดาพระพุทธสัมมาสัมพุทธเจ้า จะไม่อุบัติขึ้นมาในโลกนี้ทุกอย่างก็มีอยู่ก่อนแล้วทั้งสุขและทุกข์ต่างๆที่เป็นสมมติในโลกนี้ นี่คือคำที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้ให้พวกเราได้ทราบ
มาเดินตามรอยพระบาทแห่งองค์พระศาสดากันเถอะเพื่อจะได้พ้นจากกองทุกข์กันเสียที
ถ้าคนเรายังไม่รู้จักทุกข์ก็คงจะออกจากทุกข์ได้ยากและคงไม่รู้จักสุขที่แท้จริง ความสุขที่มีอยู่แบบโลกๆ นั้นไม่ใช่สุขแท้จริงเป็นเพียงสุขปลอมๆที่มีนายใหญ่คือ ตัวทุกข์เป็นผู้ชักใยบงการอยู่เบื้องหลังอย่างแยบยลซ่อนเร้นอำพรางทำจนเราตายใจรักความทุกข์อย่างถอนตัวไม่ขึ้น เราท่านก็รักชอบตัวทุกข์อย่างสนิทใจโดยไม่รู้ตัว ในโลกแห่งความเป็นจริงมีอยู่ว่า ความเกิดเป็นทุกข์ ความแก่เป็นทุกข์ ความมีโรคภัยเบียดเบียนเป็นทุกข์ การเสียของ-รักหมดความชอบใจเป็นทุกข์ การไม่ได้มาและการเสียไปเป็นทุกข์ ที่สุดตายไปยังเป็นทุกข์และตราบใดการที่ยังไม่เข้าหนทางแห่งนิพพานก็ยังต้องเป็นทุกข์ต่อไป แต่จะมีใครสดุดหยุดคิดบ้างหรือไม่ว่า อีกหนทางหนึ่งที่ทุกคนเรียกหาปราถนาขวนขวายเพื่อให้ได้มาก็เป็นทุกข์เช่นกัน คือ ความต้องการมีอายุไว้ ความไม่แก่ ไม่เจ็บ และไม่ตาย ความรัก ความร่ำรวย ความมีอำนาจวาสนา ฯลฯ ความต้องการที่ทะยานอยากต่างๆ (ตัวตัณหาอุปาทาน) ตลอดเวลาที่ไม่รู้จักอิ่มจักพอเสียที ต้องการที่ จะมี จะเป็น จะได้มา ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมากมาย ยิ่งได้ยิ่งอยากสุดท้ายยิ่งทุกข์ เป็นมหันตทุกข์เสียด้วย เมื่อพอจะเข้าใจเรื่องทุกข์แล้วต้องมาดูว่าเหตุของทุกข์เกิดจากอะไร สิ่งมีชีวิตเท่านั้นจึงรู้จักทุกข์ สิ่งที่มีจิตวิญญาณเท่านั้นจึงรู้จักทุกข์ สิ่งที่มีการเกิด-การตาย, มีกาย-มีใจ และเมื่อมีเวทนาเกิด จึงรู้ว่าทุกข์ทุรนทุรายอยากออกจากทุกข์ ขวนขวายหาวิธีออกจากทุกข์กันทั้งสิ้น
ทุกข์แบ่งออกเป็น 2 อย่าง คือ ทุกข์กาย (รูปธรรม) และทุกข์ใจ (นามธรรม)
๑. ทุกข์กาย(รูปธรรม) อันมีอาการต่างๆ ทางกาย เริ่มตั้งแต่การที่ดวงจิตมาจุติในครรถ์มารดา ก็ทุกข์แล้ว ทุกข์นั้นไปแอบแฝงและแสดงออกที่ผู้เป็นบิดา-มารดา ผู้ที่ต้องคอยถนอมรักษาลูกในท้องให้อยู่ดีมีสุข ปลอดภัย กว่าจะเจริญเติบโตแล้วคลอดออกมาอย่างปลอดภัยก็ต้องร่วมทุกข์ร่วมสุขกันยาวนานถึง 9 เดือน เริ่มต้นจาก เรื่องปากท้อง เรื่องสุขภาพ เรื่องความปลอดภัยของเด็กในครรถ์และของผู้เป็นมารดา, เรื่องของการสร้างเนื้อสร้างตัวเพื่อรองรับสมาชิกใหม่(หน้าที่นี้ส่วนใหญ่ตกอยู่กับผู้เป็นสามีหรือบิดาของเด็กในครรถ์นั้น) การวาดฝันวางเรื่องอนาคตของแต่ละครอบครัวที่ต้องดิ้นรนแสวงหาอีกมากมายนั่นคือ ความวุ่นวายรุ่มร้อนเป็นทุกข์ไปทุกลมหายใจ แล้วก็เติบโตเป็นเด็ก วัยรุ่น วัยกลางคน วัยชรา ที่สุดหมดวัยหมดอายุขัย กว่าหมดวัฏจักรแห่งชีวิตในหนึ่งรอบชาติอายุขัย นั่นคือ ตาย บทสรุปชีวิตของแต่ละคนก็ไม่เท่ากันว่ารอบของชาตินั้นๆได้ทำประโยชน์อะไรบ้างจากการที่ได้เกิดมาเป็นคนทั้งที เกิดมาชาตินี้ค้นหาคำตอบของชีวิตว่าเกิดมาทำไมเจอหรือยัง ถ้ายังไม่เจอก็กลับมาเกิดใหม่อีกไม่จบสิ้น ฟังดูไม่ซับซ้อนแต่ถ้าพิจารณาดูให้ลุ่มลึกมันไม่ใช่เรื่องที่ปล่อยไปวันๆได้เลย มันควรที่จะต้องสังวรสำรวมระวังไม่ตกอยู่ในความประมาทเลยแม้แต่น้อย
๒. ทุกข์ใจ(นามธรรม)ก่อนที่จะพูดเรื่องทุกข์ของใจก็ต้องมาลองคิดตามพระธรรมขององค์สมเด็จพระพุทธเจ้าก่อนว่าสิ่งที่พระองค์ท่านให้ความรู้แก่พวกเราเรื่อง นามธรรม คืออะไร ที่ต้องพูดเรื่องนี้เพราะ นามธรรมเป็นสิ่งที่รู้ได้ยาก สังเกตุให้รู้ตัวเห็นตัวได้ยาก พวกเรามักจะตามดูตัวทุกข์ไม่ทัน ที่ยากกว่านั้นตามดูเหตุของการเกิดทุกข์นั้นไม่ทันยิ่งกว่า กว่าเราจะรู้สึกตัวเจ้าตัวทุกข์ก็เข้ามาสิงจนเต็มหัวใจแล้วทุกครั้งไป เรียกว่าหมดทางป้องกัน ที่เหลือเป็นวิธีหาทางแก้ไขเมื่อทุกข์มาเยือน (วัวหายแล้วจึงล้อมคอก) บางทีก็พบทางแก้ไขได้ไม่ยาก บางครั้งแทบจนหนทางหมดทางเยียวยากันไปเลยก็มี
แต่ถ้าเรามาคิดตามและลดทิฐิมานะลง น้อมกายใจให้เป็นผู้ว่าง่ายและทำตามพระธรรมคำสอนขององค์พระโลกะวิทูสัมมาสัมพุทธเจ้าพระผู้ซึ่งได้ประกาศและวางรากฐานวิชาดับทุกข์ที่ยิ่งใหญ่ไว้ให้กับโลก อีกทั้งค่อยๆ ก้าวเดินตามพระองค์ท่านไปอย่างช้า ตั้งสติให้ดี ก็จะทราบชัดว่า ทุกข์เป็นเรื่องป้องกันได้แก้ไขได้ ก่อนที่จะตกเป็นเหยื่อของทุกข์เป็นรายต่อไป หรือแม้ว่าความทุกข์นั้นจะมานั่งนอนในใจในกายของเราแล้วก็ไม่เป็นเรื่องยากเกินไปที่จะแก้ไขถ้าตั้งใจจริง แต่ที่สุดมนุษย์แทบทุกคนทุกยุคสมัยก็ยังหาวิถีทางดับทุกข์ในวิธีต่างๆของตนต่อไป แล้วเมื่อไหร่ถึงจะเจอเส้นทางของการดับทุกข์อันประเสริฐขององค์พระศาสดาได้เล่า ในเมื่อท่านและเราต่างมีทิฐิมานะที่จะแสดงความเป็นผู้ว่ายากกันอยู่เช่นนี้
พระพุทธเจ้าท่านได้ค้นหาวิธีดับทุกข์อย่างประเสริฐ์และเป็นเส้นทางตรงเส้นทางเดียวที่ไปสู่ทางดับทุกข์อย่างถาวร อันบริสุทธิ์ โดยไม่ต้องกลับมาวกเวียนวนอยู่กับกองทุกข์อีกต่อไป ศาสนาพุทธเป็นศาสนาเดียวที่กล่าวถึง นิพพาน เป็นศาสนาเดียวที่กล่าวถึงกฏแห่งกรรม และเป็นศาสนาเดียวที่ยืนยันว่ามนุษย์และสัตว์ทั้งหลายต้องเป็นไปตามกรรมหรือการกระทำที่ตนทำไว้ ตนแต่เพียงผู้เดียวที่จะต้องรับมรดกกรรมที่ตนสร้างไว้ทั้งหมด นี่คือจุดเริ่มต้นหรือจุดสตาร์ทที่เราจะก้าวออกจากทุกข์
สิ่งต่อไปนี้คือทุกข์ที่ปฏิเสธได้ยากหากยังต้องกลับมาเกิดอยู่และเป็นเรื่องของทุกข์ล้วนๆที่ทุกคนประมาทหลงลืมไป
1. เรามีความแก่เป็นธรรมดาไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้
2. เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดาไม่ล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปได้
3. เรามีความตายเป็นธรรมดาไม่ล่วงพ้นความตายไปได้
4. เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจของเจริญใจทั้งหลายไปทั้งสิ้น
5. เรามีกรรมเป็นของของตน, เป็นผู้รับผลของกรรมนั้น, เรามีกรรมเป็นกำเนิด, เรามีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์, เรามีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย, เราได้ทำกรรมอันใดไว้ จะดีหรือชั่วก็ตามเราย่อมเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น.

เมื่อเข้าใจดังนี้ นี่คือสิ่งที่องค์พระศาสดาของโลกองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราได้กล่าวสอนไว้ ดังเช่นนี้ พวกเราคงออกจากทุกข์ได้แน่นอน ถ้าแม้เราเกิดทุกข์ขอเพียงมีสติ ขอเพียงใช้หลักธรรมของพระพุทธเจ้ามาเป็นที่พึ่งอาศัย เกิดเป็นปัญญา เข้าใจโลกแห่งความเป็นจริงอันเป็นธรรมชาติแท้ของชึวิต นี่เป็นหนทางอันพ้นทุกข์และถ้ายังไม่พ้นทุกข์ก็พอจะทำให้เราอยู่กับความทุกข์อย่างมีรอยยิ้มบางๆบนใบหน้าได้ เป็นยารักษาชีวิตให้ได้สร้างความดี สร้างกุศลต่อไป เพื่อที่สุดคือดับทุกข์ ดับเย็นในปัจจุบันและอนาคต อย่างแน่นอน

ขอบารมีของคุณพระศรีพระรัตนตรัยจงคุ้มครองให้พวกเรามีความสงบเย็นสว่างด้วยปัญญาด้วยเทอญ.

เกษแก้ว ศรัทธาโพธิธรรม

ไม่มีความคิดเห็น: