วันอังคารที่ ๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๒

ชีวิตนี้มีความจริง

ความจริง เป็นเรื่องที่ทุกคนชอบและต้องการ มนุษย์ทุกคนไม่ว่าหญิงหรือชายล้วนเกลียดความเท็จ เกลียดความจอมปลอม เกลียดความหรอกลวงและรังเกียจการโกหกเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะถ้ารู้ว่าตนเองถูกหรอกด้วยแล้วยิ่งโกรธเคืองเป็นที่สุด ดังนั้นเราจึงเห็นว่าศีลข้อที่ 4 คือ มุสาวาทเป็นศีลข้อสำคัญยิ่งข้อหนึ่งในจำนวนศีลทั้ง 5 ข้อ

องค์สมเด็จพระบรมศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา เป็นบุคคลที่กล่าวแต่ความจริงทั้งสิ้น พระองค์ไม่เคยกล่าวคำเท็จแม้แต่เพียงคำเดียว พระวาจาของพระองค์บริสุทธิ์ที่สุดจริงที่สุด พระพุทธเจ้าค้นคว้าค้นหาและค้นพบ เรื่องราวของความจริงทั้งหลายทั้งมวลในโลกและนอกโลกเป็นความจริงที่สัมผัสได้ พิสูจน์ได้ ความจริงที่เป็นอมตะ ไม่จำกัดกาลเวลา ไม่จำกัดเพศและวัย เป็นเรื่องราวความจริงของชีวิตซึ่งเป็นศาตร์วิชาที่สูงสุดของโลกไม่มีวิชาใดที่จะสูงไปกว่านี้อีกแล้ว นั่นคือ พุทธศาตร์

ท่านและเราเคยคิดกันบ้างหรือไม่ว่าเหตุใดพระพุทธเจ้าจึงทราบทุกอย่างในโลกและนอกโลก ในกายและนอกกายได้อย่างละเอียดละออที่สุดปานนั้น เคยมีคนมากมายกล่าวว่าท่านเป็นคนที่มาจากนอกโลก หรือบางคนบอกว่าท่านเป็นเทวดาผู้มีฤทธิ์มากเกินกว่าที่มนุษย์และเทวดาทั้งหลายจะเทียบได้ นั่นก็เป็นเรื่องของความคิดของแต่ละคน เรายกประเด็นนี้ออกเสีย แล้วมาคุยเรื่องความจริงดีกว่า ที่แท้ความจริงปรากฏอยู่ตลอดเวลาทุกๆ ลมหายใจเข้า-ออก แต่เราไม่ละเอียดพอ ไม่ช่างสังเกต ไม่รู้ ไม่เห็นและไม่พยายามยอมรับความจริงตะหากนี่คือ ประเด็นสำคัญ เรายังแข็งกระด้างอยู่ เรายังปิดบังอำพรางตัวตนอยู่ เรายังใช้อารมณ์เป็นใหญ่อยู่นี่คือ ม่านดำบังตา – บังใจและบังปัญญา ย้อนกลับไปสมัยพุทธกาล สมเด็จพระราชบิดาของพระพุทธเจ้าก็ปิดบังความจริงกับพระราชโอรสคือ เจ้าชายสิทธิธัตถะ ว่าโลกนี้มีแต่ความน่ารื่นรมย์ ความสุขสนุกสำราญใจ ไร้ทุกข์ทั้งปวง (เกิด แก่ เจ็บ ตาย) มอบแต่ความสุขให้กับพระราชโอรส ทั้งรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสทางโลกีย์ทรงมอบให้อย่างมากมาย มอบความมีตัวตนให้กับพระราชโอรสอย่างเต็มที่ ปิดบังโลกภายนอกไว้ ไม่ให้เห็นความจริงทั้งมวลที่อยู่ภายนอกพระราชวัง นี่เรียกว่า พระราชบิดากำลังปิดบังความจริงของโลก หรือ จะเรียกว่ากำลังโกหกลูกก็ได้

แต่แล้วกรรมลิขิตให้เจ้าชายสิทธิธัตถะได้รับรู้ความจริงว่า ในโลกนี้ใช่มีแต่สุขเพียงอย่างเดียว แต่โลกนี้ยังมีความทุกข์ร่วมอยู่ด้วย โลกนี้ใช่มีแต่พระราชวังอันยิ่งใหญ่แต่ยังมีขอทานนอนข้างถนนไร้ที่อยู่อาศัยอดอยากยากแค้นแสนสาหัสอยู่ข้างพระราชวังอีกจำนวนมาก โลกนี้ใช่มีแต่เสียงประโคมดนตรีอันเสนาะไพเราะยิ่งเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีเสียงคร่ำครวญโหยหวนอย่างเจ็บปวดทุกข์ทรมานของผู้ตกทุกข์ได้ยากทั้งทางกายและทางใจจำนวนมหาศาล และโลกนี้ใช่มีแต่การเกิดมันยังมีความตายที่ชิดแนบสนิทกับตัวบุคคลทุกคนอีกด้วย (เหมือนดังกายเนื้อกับเงาที่ติดตามกันอย่างแยกกันไม่ได้ เงาเป็นเครื่องเตือนให้เรารู้ว่า กรรมคอยติดตามเราไปทุกหนแห่งที่เราเกิด และเงายังเป็นเครื่องเตือนใจให้คิดถึงความตายได้อีกด้วย ว่าเมื่อใดกายหยุดเคลื่อนไหวอย่างสนิทเงานั้นก็หายไป นั่นคือ ท่านได้ตายแล้ว แต่สิ่งที่เหลืออยู่คือ กรรม ที่ยังไม่ตาย กรรมจะตายก้อต่อเมื่อเราดับสนิทแล้ว เท่านั้น)

เมื่อวันหนึ่งมาถึง พระองค์เห็นความจริงของชีวิตที่พระองค์ไม่เคยรู้มาก่อนทั้งหมดดังที่กล่าวมาข้างต้น จึงเกิดเป็นจุดเริ่มต้นของความจริงทั้งหมดในโลก ถ้าพิจารณาทบทวนให้ดีพระพุทธสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานั้น เป็นบุคคลเดียวและบุคคลแรกของโลกที่ประกาศความจริงของชีวิตของสรรพสัตว์ทั้งหลายให้ปรากฏขึ้นอย่างองอาจที่สุด ไม่มีพระเจ้าองค์ใดในศาสนาใดที่กล้ากล่าวความจริงนั้นๆ โดยมากมักสอนให้ตั้งความหวังและฝากความหวังไว้กับการบูชา หรือบูชายันต์หรือการฝากชีวิตไว้ในกำมือของพระผู้เป็นเจ้า ผู้ที่สามารถประทานทุกอย่างให้กับผู้ที่สังเวยหรือถวายเครื่องบรรณาการให้กับพระผู้เป็นเจ้า หรือ บริวาลของพระผู้เป็นเจ้าอย่างเต็มที่บางลัทธิถึงกับต้องสังเวยชีวิตคน หรือสัตว์ หรือสังเวยความสาวให้กับสาวกของพระเจ้าในลัทธินั้นๆ นั่นถือว่าคนโง่ย่อมตกเป็นเหยื่อของคนโฉดผู้ขาดซึ่งศีลธรรมโดยสิ้นเชิง เราจะไม่พูดกันถึงเรื่องนี้ขอเพียงเราใช้วิจารณญาณให้ดีก็สามารถเข้าใจได้อย่างถูกต้องโดยไม่ยาก

มีเพียงศาสนาพุทธเท่านั้นที่กล่าวว่า ทุกอย่างเกิดขึ้นจากกรรมและกรรมที่เกิดขึ้นล้วนแต่เป็นการกระทำของตนเองทั้งสิ้น ผู้ใดกระทำกรรมอันใดไว้ย่อมได้รับผลของกรรมนั้นอย่างยุติธรรมที่สุด เมื่อเรากล่าวถึงกรรม พระพุทธเจ้าท่านก็อยู่ภายใต้กฏแห่งกรรมเช่นกัน พระองค์เป็นผู้มีความละเอียด เป็นผู้มีความอ่อนน้อม เป็นผู้มีจิตใจงดงามเปี่ยมด้วยเมตตาธรรมสูงสุดและเป็นผู้ประพฤติธรรมอันบริสุทธิ์มาโดยตลอดทุกภพชาติ ตามพระพุทธประวัติเราจะเห็นว่าไม่ว่าพระองค์ท่านจะไปเกิดในภพใดชาติใด เกิดเป็นอะไรก็ตามท่านจะไม่ประมาทในกรรม พระองค์เป็นผู้มีสัจจะประพฤติปฏิบัติแต่กรรมดีให้ดียิ่งๆขึ้น พร้อมงดเว้นจากกรรมชั่วทั้งมวลจนจิตบริสุทธ์ถึงขั้นปรมัตถ์ แล้วในชาติสุดท้ายได้สำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของโลก นี่คือ สิ่งที่พิสูจน์ได้ว่า กรรมมีจริง สิ่งที่พระพุทธเจ้าประกาศคือ เรื่องของกรรมทั้งสิ้น พระองค์สอนให้บุตรของพระองค์ ไม่ประมาทในกรรม ให้กำหนดรู้ตัวทั่วพร้อมอยู่เสมอทุกลมหายใจเข้าออกเพื่อ อะไร เพื่อเป็นผู้มีความประพฤติปฏิบัติอันบริสุทธิ์ ถ้ากระทำกรรมใดก็ตามก็ต้องเป็นกรรมขาว กรรมดี หากแม้ยังไม่หมดภพชาติและต้องกลับมาเกิดอีกจะได้ไม่ตกต่ำกว่าชาติที่ผ่านมา นี่คือความฉลาดของผู้ที่ศึกษาและปฏิบัติในพุทธศาสตร์ศาสนา เป็นความฉลาดที่บริสุทธิ์ รวมเรียกว่า ปัญญา เท่านี้แหละที่เป็นเบื้องต้นว่าทำไมเราจึงต้องศึกษาและปฏิบัติธรรม ถ้าไม่อยากตกต่ำ และปราถนาพ้นทุกข์กันจริงๆ ก็ต้องเชื่อว่า ทุกอย่างในโลกนี้เกิดขึ้นเพราะกรรมกำหนด และนั่นคือ เรามีความกตัญญูกตเวทิตา มีความศรัทธารักและเคารพต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราอย่างสูงสุด พระองค์คือ พระบิดาทางจิตวิญญาณของเรา พระองค์เรียกผู้ปฏิบัติประพฤติธรรมของพระองค์ว่า “บุตรแห่งเรา”

แต่ศาสนาพุทธไม่ได้กล่าวว่า ฝากชีวิตไว้กับพระเจ้า กลับกล่าวว่า

ผู้ใดประพฤติธรรม “ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเราตถาคต”

ดังนั้นตนจึงเป็นที่พึ่งแห่งตนเท่านั้น และนี่คือ ชีวิตนี้มีความจริง

ทุกคนชอบความจริงแต่ทุกคนกลัวความจริง ความจริงที่พระพุทธสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวไว้คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เมื่อพบต้องพรากจาก ไม่อยากได้สิ่งที่ไม่ชอบ -ไม่อยากเสียของรักไป มีสุขต่อไปก้อต้องทุกข์ ต้องพบกับความบีบคั้นต่างๆนานาตลอดเวลา เป็นเช่นนี้ตลอด หลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะมันเป็นสัจจะ เป็นความจริง เป็นธรรมะ เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้แล้วประกาศความจริงนี้ทั้งสิ้น ถ้าใจรู้ ใจกำหนดสติตามทัน จิตรู้ จิตกำหนด ที่สุดจิตเห็นธรรม (ความจริงของสิ่งทั้งปวงเรียกว่า โลก) ชีวิต จิตและธรรมในโลกของตัวเรา ก็สงบ สุข สว่าง สะอาด และที่สุดดับเย็นเป็นสูงสุด

แก้วเกษม ศรัทธาโพธิธรรม

ไม่มีความคิดเห็น: