มนุษย์ทุกคนอยากมีชีวิตที่ได้ดี นี่เป็นสัจจะวาจา แต่คำว่า “ชีวิตได้ดี” คืออะไร คำว่าได้ดีนั้นหมายถึงได้อะไร แล้วได้อะไรจึงจะดีได้
“การรู้ทันจิต” หมายถึงอะไร และคำว่า “จิต” นี่แปลว่าอะไร การรู้ทันจิตรู้ทันอะไรล่ะ อะไรที่เกี่ยวกับจิต มันเป็นการยากที่บุคคลจะรู้เท่าทันจิต แค่เฝ้ามองการปรุงแต่งจิต (สังขาร) ก็ยากแล้ว นี่กลับต้องรู้ทันจิตอีกมันยากยิ่งกว่า แต่พระพุทธสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ท่านก็มุ่งเน้นให้เรารู้ทันจิต เข้าใจเรื่องของจิตและให้เข้าไปดูจิตอย่าได้ออกนอกจิต อีกทั้งเข้าไปดูจิตในจิตอีก งงไปกันใหญ่ ยากไปกันใหญ่ อะไรคือจิตในจิต ถ้าค้นเจอทุกอย่างหยุด ทุกอย่างหยุดจริงๆ
เพียงสองประโยคสั้นๆนี้ ถ้าเข้าถึงท่านก็จะพบกับความสุขที่สมบูรณ์และเป็นความสุขที่ปลอดทุกข์หรือทุกข์น้อยอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน การรู้ทันจิตในความหมายทางธรรมะนี้คือ การรู้อย่างผู้มีสติ มีคุณธรรม มีศีลรักษา มีธรรมคุ้มครองและมีจรรยาจริยะงดงาม ไม่งุ่มง่ามเซอะซะ ไม่ใช่การรู้ทันจิตอย่างโลกๆ ที่มีแต่ทำตามจิตตามใจอันทยานอยากไม่รู้จักพอไม่จบสิ้นยิ่งมียิ่งหิว ยิ่งมียิ่งหิวจริงๆ นี่ก็ต้องอธิบายกันเสียก่อนเดี๋ยวจะสับสนปนเป เปรอะเปลื้อนกันไปหมด
การที่จะทำให้ชีวิตได้ดีและดีได้จากการรู้ทันจิต นั้นก็ต้องมีการฝึกฝน มีการเฝ้ามอง ตรึกตรอง ใคร่ครวญ อย่างจริงจัง บางครั้งต้องใช้เวลาเป็นเดือนเป็นปีหรือตลอดไป แต่ยืนยันได้ว่าถ้าท่านได้กระทำการเฝ้าดูรู้ทันจิต บอกตัวเองได้ว่านั่นเป็นทางสายบุญหรือทางสายบาป (หมายถึงจิตคิดดี-คิดชั่ว) สิ่งนั้นทำแล้วเป็นทุกข์หรือไม่ เพียงนี้ท่านก็มีทุกข์น้อยลง สร้างบาปได้ยากขึ้น สิ่งใดเป็นเหตุแห่งความชั่ว เป็นบาป เป็นกรรมดำ อันเลวทรามแล้วเราจะไม่ไปในทางนั้น แต่เราจะหมั่นเพียรสร้างกรรมขาวและจะหมั่นเพียรละกรรมดำให้หมดสิ้นจากสันดาน เราจะเพียรสร้างและกระทำจิตใจให้ขาวรอบ อันเป็นบุญกุศล เป็นความดับเย็น ดังคำพระพุทธพจน์แห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในคราวให้โอวาทะปาฏิโมกข์นั้น
ทุกชีวิตอยากได้ดีไม่มีใครอยากได้ชั่ว แต่การได้ดีต้องตั้งอยู่บนศีลธรรมอันดีงาม บนความถูกต้อง เมื่อดีงามถูกต้องก็ได้ดีแน่นอนจะได้ชั่วนั้นเป็นไปไม่ได้ อย่างน้อยใจของตัวเองก็อิ่มเอม อาบสุข นั่งเป็นสุข นอนเป็นสุข ไม่ตกใจหวาดผวาหวั่นกลัวกับสิ่งใดๆ แม้ความตายจะอยู่ตรงหน้าก็สงบเย็น เพราะมั่นใจว่าไม่ตกไปสู่โลกที่ชั่ว มีสุขคติภพเป็นที่หมายอย่างไม่ต้องสงสัย ในสังคมปัจจุบัน บางคนให้ความสำคัญกับวัตถุสิ่งของ เงินทอง มากกว่าสิ่งใดๆทั้งหมด จึงเกิดเป็นค่านิยมที่ผิดไป ความจริงชีวิตยังต้องมีส่วนประกอบอะไรอีกหลายอย่างจึงทำให้ชีวิตมีความสมบูรณ์สมที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์เป็นคน ทำไมบางคนมีพร้อมทุกอย่างทั้งบ้านหลังโต รถยนต์คันโก้หรู เงินทองล้นหลาม ชื่อเสียงเกียรติยศและอะไรอีกมากมาย แต่ยังหาที่พึ่งอันแท้จริงของชีวิตไม่ได้ คนเหล่านี้ยังโหยหา อ้างว้าง ว้าเหว่ หิวโหยไม่อิ่มใจและจิตใจยังร้อนรนอยู่ ชีวิตยังมีน้ำตาไหลอาบแก้ม นั่นเป็นเพราะอะไร เพราะเรารู้ไม่ทันจิตใช่หรือไม่ เพราะชีวิตยังไม่ได้ดีใช่หรือไม่ เงินทองข้าวของทั้งหมดที่ทุ่มอุตส่าห์หามาแทบตายนั้นช่วยอะไรไม่ได้เลย มันเป็นแต่สิ่งที่สมมุติเหมือนว่าทำให้เรามีสุข มันก็สุขภายนอกเป็นสุขปัจจัยของการดำรงไว้ในสังคม หรือสุขปัจจัยของการดำรงไว้ในชีวิต ต้องแยกให้ออก เมื่อไรเราจึงจะพบสุขที่แท้จริง เมื่อไรใจเราจึงอิ่ม ใจเราจึงพอ
การรู้ทันจิต เป็นวิธีเดียวที่จะทำให้เราพ้นทุกข์ได้และเป็นมหากุศลอันยิ่งใหญ่ การที่เราฝึกสมาธินั้นแท้จริงเราฝึกอะไรและฝึกสมาธิเพื่ออะไร การฝึกสมาธิ มิใช่การฝึกแค่เพียงให้เรานั่งได้นาน ยืนได้นาน เดินได้นานกว่าคนอื่น แต่การฝึกสมาธิ คือ การฝึกจิตให้เกิดปัญญา เกิดความรู้ในความเป็นจริง เกิดความเบื่อหน่ายในการเวียนว่ายตายเกิด ชีวิตมีอะไรที่เป็นจริงแต่เรามองข้าม เราคิดว่าตนจะไม่แก่ ไม่เจ็บและไม่ตาย ของที่เรารักต้องอยู่กับเราตลอดไป สิ่งที่เราไม่อยากให้เกิดเราจะควบคุมไม่ให้เกิดให้จงได้ ค้นหาวิถีทางที่จะให้ตนเองเป็นอมตะนั่นคือการหลอกตนเอง ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่ไม่เสื่อมไม่มีจริงๆทุกอย่างล้วนเป็นทุกข์ ล้วนเสื่อมไป แปรเปลี่ยนไปทุกวันทุกเวลา ไม่ว่าสิ่งนั้นจะมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตก็ตาม
การฝึกสมาธิเป็นการฝึกจิต ดูจิต-ดูกาย ดูรูปธรรม-นามธรรม อะไรคือรูปธรรม-นามธรรม เวลาที่พ่อแม่ครูบาอาจารย์พูดว่า รูปธรรม รู้ไม๊ว่ารูปธรรมคืออะไร เวลาที่กล่าวว่า นามธรรม รู้ไม๊ว่านามธรรมคืออะไร ทำไมต้องแยกรูปแยกนาม หลายคนเคยได้ยินพ่อแม่ครูอาจารย์สอนว่า กายเจ็บใจไม่เจ็บ กายป่วยใจไม่ป่วย กายเคลื่อนใจไม่เคลื่อน นั่นแปลว่าอะไร ดูกายในกายแปลว่าอะไร ดูจิตในจิตแปลว่าอะไรยิ่งพูดยิ่งงงยิ่งสงสัยยิ่งสับสนแต่ก็ทนทำกันต่อไป บางท่านเข้าใจไปไกลกว่านั้นอีกว่า ตนนั่งได้นานเป็นชั่วโมงๆนั่นได้สมาธิแล้ว นั่งเห็นนางฟ้าเทวดา เห็นสวรรค์วิมานหรืออะไรก็ตามตนสำเร็จแล้ว กำลังเข้าใจอะไรผิดไปรึเปล่า เดินจงกลมตั้งนานได้อะไรบ้าง ได้เดิน เมื่อยก็เมื่อย ร้อนก็ร้อนได้อะไร ยกหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอ ได้อะไรเกิดสติในการปฏิบัติเกิดดวงปัญญาหรือไม่ เวลานั่งสมาธิได้อะไร ปวดหัวเข่า ปวดเอว ปวดคอ ปวดไปหมดทั้งตัว แถมยังต้องอดหลับอดนอน อดข้าวเย็น ต้องอยู่ในกฎระเบียบวินัย ถูกบีบคั้นสารพัดทนไปทำไม เวลาทำบุญทำทานยังต้องเสียสละสิ่งของอันมีค่าอีก ตอนทำบุญเอาจิตไปไว้ไหน ไว้ที่ผลตอบแทนของบุญว่า อยากได้อะไรก็อธิฐานเอาอย่างนั้นหรือ ท่านได้เกิดสติในการปฏิบัติเกิดดวงปัญญาหรือไม่ สรุป ตามจิตทันไม๊นี่ แท้จริงจิตต้องการอะไร จิตค้นหาอะไร จิตในจิตอยู่ที่ไหน เหนื่อยไม๊กับการวิ่งตามกระแสของโลก สุดท้ายวิ่งเข้าวัดตามหาความสงบ ค้นหาจิตของตัวเอง ไปหาที่วัด ไปรดน้ำมนต์ ไปสะเดาะเคราะห์ ไปบวชแก้บนแก้กรรม ไปหาวัตถุมงคลและไปดูดวง มันใช่หรือมันถูกทางแล้วหรือ เข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า จิตอยู่กับตัวอยู่ในกายในใจของตัวไม่ได้อยู่ที่ไหน แต่การที่เราไปวัดไปปฏิบัติธรรมเพื่อเรียนรู้ธรรมะที่พระพุทธเจ้าท่านรู้แจ้งแล้วนำมาประกาศสั่งสอน ให้โลกได้รู้ความจริงเลิกหลงงมงายกับสิ่งสมมุติต่างๆ ยิ่งพูดยิ่งงงสรุปต้องลองปฏิบัติดู ตามคำสั่งสอนของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ เดินตามพระบาทขององค์พระศาสดา น้อมจิตน้อมใจให้เป็นผู้ว่าง่ายและสร้างศรัทธาในพระธรรมก่อน อย่าเพิ่งติดสงสัยและอย่าเพิ่งปิดทางตันกับใจ
ธรรมะขององค์พระพุทธสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นของสูงเป็นสัจจะวาจา เป็นของทันสมัยตลอดเวลาไม่มีการตกยุค ใช้ได้กับทุกเพศทุกวัย มีเงื่อนไขเพียงว่าเราต้องเป็นผู้ปฏิบัติเอง เมื่อปฏิบัติแล้วก็จะรู้เองเห็นเอง ทำทันทีได้ทันที บอกให้คนอื่นปฏิบัติแทนก็ไม่ได้และที่สำคัญกว่านั้นต้องปฏิบัติอย่างจริงจังต่อเนื่องทำเล่นๆคงไม่ได้ของจริง ถ้าได้ก็ได้ของเล่นๆเหมือนกัน ต้องทำอย่างมีปัญญา แล้วปัญญาอยู่ที่ไหนอยู่ที่จิตในจิตไง แล้วจะเห็นจิตในจิตได้อย่างไร อันนี้ท่านต้องตั้งปณิธานและตั้งใจปฏิบัติธรรมกันอย่างจริงจัง เรื่องนี้มิใช่จะมาพูดกันคำสองคำแล้วจะเห็นได้ ทุกอย่างล้วนมีขั้นตอน มีวิธี มีภาวะ และมีเจตนาบวกกับความศรัทธา เมื่อทุกอย่างประกอบพร้อมขึ้นเป็นพลังธรรมในใจในกายหมายจะมอบกายถวายชีวิตแด่พระรัตนะตรัยแล้ว ณ บัดนั้นท่านก็คงค้นพบจิตในจิต กายในกายได้ไม่ยาก
ขอคุณธรรมอันประเสริฐแห่งพระรัตนะตรัยจงปรากฏเป็นแสงแห่งธรรมอันสว่างๆไสวที่สุดเหลือที่จะประมาณได้ บังเกิดเป็นรัศมีอันกว้างใหญ่ไพศาลผ่านไปทุกภพภูมิเพื่อให้หมู่สัตว์ผู้พอจะมีบารมีในธรรมได้รู้แจ้งในธรรมที่พระพุทธเจ้าได้รู้แล้วนั้นตามบุญวาสนาของแต่ละคนนั้นๆเทอญ.
ผู้มอบกายถวายชีวิตแด่พระรัตนะตรัยย่อมได้รับความสุขจริงทั้งในชาตินี้และชาติหน้า
เกษแก้ว ศรัทธาโพธิธรรม
1 ความคิดเห็น:
จิตดูจิต วิธีเจริญสมาธิภาวนา โดย หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
แสดงความคิดเห็น