วันพฤหัสบดีที่ ๑๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๒

รู้อะไรก้อไม่เท่ารู้ตัว ลืมอะไรก้อไม่เท่าลืมตัว (ภาค 1)

ประโยคที่กล่าวนี้ “รู้อะไรก้อไม่เท่ารู้ตัว ลืมอะไรก้อไม่เท่าลืมตัว”นี้ นี่เป็นคำใหญ่เป็นหัวใจของชีวิต และเป็นสิ่งจำเป็นที่โลกนี้ต้องมี มันเป็นหลักเป็นแกนกลางเป็นหัวใจของโลกของจักรวาล เพียงประโยคสั้นๆเท่านี้ แต่มีพละกำลังมหาศาลยิ่งกว่าปรมณูเสียอีก เพราะสามารถเป็นผู้สร้างและเป็นผู้ทำลายที่มีอานุภาพมากถึงมากที่สุด และไอ้ประโยคสั้นๆแค่นี้แหละถ้าผู้ใดเข้าใจและมีปัญญา มีสติระลึกรู้ถึงคุณค่าของคำ มีวิธีทำประโยชน์และนำประโยชน์จากประโยคนี้มาดำเนินชีวิตที่มีอยู่น้อยในชาตินี้ ให้มีประโยชน์และมีค่าที่สุดได้ก็จะมีชีวิตที่คุ้มค่าที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์


“รู้อะไรก้อไม่เท่ารู้ตัว ลืมอะไรก้อไม่เท่าลืมตัว” เป็นคติธรรมที่ต้องพกติดตัวติดใจติดจิตไว้ตลอดเวลา และต้องหมั่นฝึกฝนให้เคยชินจนเป็นนิสัยเป็นสันดานกันไปเลย เพราะเมื่อไรที่เราลืมตัวเมื่อนั้นความลำบาก ความทุกข์ยาก ความฉิบหายก้อจะมาเยือนมาเป็นเพื่อนทุกข์เพื่อนยากกับเราทันที แน่นอนลืมตัวเมื่อไรได้เพื่อนทุกข์เพื่อนยากแน่ๆ ไม่มีวันได้เพื่อนสุขเพื่อนเกษมไปได้หรอก แต่ถ้ารู้ตัว รู้ตัว ไม่ลืมตัว เมื่อนั้นสิ่งดีๆ เพื่อนดีๆ เพื่อนแท้ เพื่อนสุขเกษมก็จะมาเป็นมิตรชิดใกล้กับเราเช่นกัน


รู้อะไรก้อไม่เท่ารู้ตัว ลืมอะไรก้อไม่เท่าลืมตัว” เป็นคำเตือนที่ต้องสนใจ เป็นสัจจะไม่โป้ปด เป็นหัวใจของโลก ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนต้องดับไป เกิดขึ้นเท่าไรดับหมดเท่านั้นไม่มากไม่น้อยไปกว่ากันมันเท่ากันพอดี แต่ช่วงเวลาของการดำรงอยู่กว่าจะดับใช้เวลาไม่เท่ากันนะ และไอ้ความไม่เท่ากันของการดำรงอยู่นี้แหละคือแง่คิดที่ดี ว่าช่วงเวลาสั้นหรือยาวนี้ใครจะรู้ตัวก่อนกัน ใครจะลืมตัวกว่ากัน ยิ่งลืมตัวนานเท่าไรภพชาติก็ยิ่งยาวนาน ส่วนใครรู้ตัวก่อนการตัดภพตัดชาติก็ยิ่งสั้นเข้าๆ ความดับเย็น ความสิ้นภพสิ้นชาติก็ใกล้ความเป็นจริงเข้ามาทุกทีจนในที่สุดเป็นจริงได้ นั่นคือ หยุดเกิด ดังนั้น หัวใจสำคัญคือ ต้องรู้ตัว ต้องรู้ตัว อย่าลืมตัวเป็นอันขาด ชีวิตของเราทุกวันนี้ ที่ต้องพบกับความวุ่นวาย พบกับความร้อนใจร้อนกาย พบกับความยุ่งยากนานาประการก็เพราะลืมตัวนั่นเอง นี่เป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์ทุกๆประเภท เพราะเราลืมตัว ลืมตาย ลืมวัฎจักร ลืมศีลธรรม ลืมเมตตาธรรม ลืมทุกสิ่งทุกอย่าง สรุปลืมตัวที่เป็นของตัวเองและของผู้อื่น เอาแต่ใจตัวเองเป็นใหญ่เป็นสำคัญลืมหัวใจของความเป็นธรรม นี่แหละคือ จุดแห่งความเสื่อมที่แท้จริง


องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้สอนอะไร ลองคิดดูให้ดีๆ พระองค์ท่านทรงสอนเรื่อง “รู้ตัว” ไม่มีสักครั้งเดียวที่ท่านจะไม่กล่าวถึงความรู้ตัว แม้กระทั่งวาจาในครั้งสุดท้ายท่านก็กล่าวถึงความรู้ตัวอยู่นั่นเอง “จงวางตนไว้อยู่ในความไม่ประมาท” แปลว่ารู้ตัว ขณะที่สอนการปฏิบัติธรรมพระองค์ท่านก็สอนให้ รู้ตัวทั่วพร้อมอีก ให้มีความรู้ตื่นตลอดเวลา นั่นคือสติปัฏฐาน 4 (ทางสายเอกสู่ความหลุดพ้นมุ่งสู่พระนิพพาน) ลึกลงไป ต้องรู้ถึงว่า เราเป็นใคร มาจากไหน ทำอะไรอยู่ เกิดมาทำไม และที่สุดจะไปไหน ระลึกให้ได้ ระลึกอยู่ตลอดเวลา เรียกว่าไม่ว่างจากสติ เมื่อมีสติก็มีตัวรู้ ไม่หลง ไม่ลืม ฟังดูง่ายแต่จริงๆแล้วยากเหลือเกินจริงไม๊ลองคิดดู แต่ถึงยากก็ต้องฝึก ต้องทน ต้องทำ ทำตัวให้รู้ตัว รู้ที่มา รู้ที่อยู่ รู้ที่ไปให้จงได้


ถ้ารู้ตัวไม่ทันมัวแต่ระเริงไฟอยู่ (ไฟตัณหา ไฟราคะ ไฟอุปทาน) ก็ไม่ต่างกับแมลงเม่าบินเข้ากองไฟเท่านั้นสุดท้ายตายเปล่า เกิดมากี่ชาติก็ตายเปล่าไร้สาระทุกชาติไป น่าเสียดายเสียชาติที่ได้เกิดเป็นคน การได้เกิดเป็นคนนั้นก็ยากแสนยากเสียด้วยไม่ได้ว่าจะได้เกิดมาเป็นคนกันทุกๆชาติหรอกนะ เอาไว้ตอนหน้าเราจะมาพบกันอีก ว่ารู้ตัวรู้อย่างไร รู้ตัวเพื่ออะไร และรู้จักตัวเมื่อไรรู้ธรรมะของพระพุทธเจ้าเมื่อนั้น ตอนนี้เราทั้งหลายยังห่างไกลพระองค์เหลือเกิน มาเถิดมาเข้าเฝ้าพระพุทธสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราด้วยกัน


รู้ตัว รู้ตน รู้กรรม รู้ธรรม รู้เวลา รู้ชะตา รู้ที่มา รู้ที่อยู่ รู้ที่ไป อย่างไรซะก็ดับเย็นได้เป็นที่สุด เมื่อสติมาปัญญาเกิด เมื่อรู้ตัวไม่ลืมตัวเมื่อนั้นหยุดเกิด ดับเย็นเป็นที่หวังได้.


เกษแก้ว ศรัทธาโพธิธรรม.

วันพุธที่ ๑๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๒

ทรัพย์แท้เลิศค่าอยู่ที่จิต

ทรัพย์แท้เลิศค่าอยู่ที่....จิต
ทรัพย์สินเงินทองเป็นสิ่งที่หามาได้ยากแต่ที่ยากยิ่งกว่าการหาทรัพย์ คือ การเก็บรักษาทรัพย์นั้น และที่ยากยิ่งกว่านั้นก็ยังมีอีก ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากที่สุด คือ การใช้จ่ายทรัพย์ที่มีอยู่นั้นให้เกิดประโยชน์สูงสุด นี่คือความยากที่แท้จริง ในเรื่องที่เกี่ยวกับการใช้ทรัพย์เป็นเรื่องที่ต้องใช้ศิลปะอย่างชาญฉลาดและรอบคอบที่สุด ถ้ามิเช่นนั้นแล้วผู้มีทรัพย์ก็จะต้องเสียทรัพย์อย่างไม่ได้ประโยชน์เท่าที่ควรแถมยังมีตัวโง่ติดมาอีกด้วย
การใช้จ่ายชนิดให้เกิดประโยชน์สูงสุดยากจริงๆ เพราะต้องเป็นประโยชน์ทั้งก่อนที่จะใช้ ได้ประโยชน์ขณะที่กำลังจ่ายทรัพย์ และสูงสุดของการใช้ทรัพย์ คือ ประโยชน์เกิดขึ้นอย่างบริบูรณ์กับผู้เป็นเจ้าของทรัพย์อย่างเต็มที่ เต็มประโยชน์ตรงเป้าหมายและจะให้ดีกว่านั้นต้องมีประโยชน์กับผู้อื่นและสังคมโดยรวมด้วย นั่นแหละ คือ สำเร็จจากการจับจ่ายทรัพย์ที่ตนหามาได้ด้วยความยากลำบาก คำว่า ทรัพย์ ฟังหรือพูดแค่นี้ทุกคนคงคิดถึง เงินตราเป็นอันดับแรก ไม่ว่าเงินนั้นจะเป็นสกุลเงินของชาติใด เงินดอลล่า เงินปอนด์ เงินบาท เงินหยวน หรือแม้แต่เงินกีบ ล้วนมีค่าในตัวเอง แต่เจ้าเงินนี้มีทั้งให้คุณและให้โทษแก่ผู้เป็นเจ้าของ เรียกว่าเป็นดาบสองคมเป็นทั้งมิตรและศัตรู เป็นสิ่งที่ให้คุณมหาศาลและให้โทษมหันต์ ถ้าเราไม่รู้จักทรัพย์ที่ตนมีให้ถ่องแท้เราก็ตกเป็นทาสของทรัพย์นั้น ต้องกลายเป็นผีเฝ้าทรัพย์ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด ตายเป็นผีทั้งที่ยังมีลมหายใจอยู่นี้แหละยิ่งถ้าผูกแน่นเท่าไรพอตายจริงเป็นผีเฝ้าปากบ่อแน่นอน ที่จริงแล้วคนเราตกเป็นทาสของทรัพย์กันเสียส่วนมาก ติดยิ่งกว่ากาวตราช้างเสียอีกปล่อยให้ความสมมตินั้นมาเป็นนายใจเรา แต่คนที่ฉลาดย่อมเห็นทรัพย์เป็นทาสและใช้ทรัพย์นั้นสร้างภพปัจจุบันให้ตนพ้นจากคนมาเป็นมนุษย์และเลื่อนจากมนุษย์เป็นเทวดา นางฟ้า ตั้งแต่ยังไม่ตาย และเมื่อตายแล้วก็ได้ไปเสวยทิพยสมบัติที่ตนได้สร้างไว้ต่ออีกในภพหน้า ไม่มีใครหน้าไหนสร้างภพสร้างชาติให้กับตัวเราได้นอกจากตัวเราเองเท่านั้น สิ่งสำคัญต้องสร้างภพในขณะที่เสวยชาติเป็นคนหรือมนุษย์เท่านั้นอีกด้วย การเกิดเป็นอย่างอื่นๆนอกเหนือจากคนสร้างบุญสร้างภพไม่ได้ นี่เป็นสิ่งสำคัญ นี่น่าคิด ดังนั้นถ้าเรารู้จักทรัพย์ดียิ่งและควบคุมมันได้ย่อมได้สาระประโยชน์อย่างมหาศาล แต่เรามารู้จักทรัพย์ตัวอื่นๆกันก่อนจะดีไหม

คำว่า “ทรัพย์” เริ่มต้นจากทรัพย์ที่ไม่ใช่เงินตราทองหยองก็ได้ ทรัพย์ที่เป็นวัตถุสิ่งของต่างๆนั่นก็จัดเป็นทรัพย์ ชื่อเสียงเกียรติยศทางสังคมก็จัดว่าเป็นทรัพย์

แต่ทรัพย์ที่สำคัญและมีค่าที่สุดในชีวิตที่เกิดมา คือ กายกับจิต นี่เป็นทรัพย์ที่มีค่ายิ่ง กายมีค่ามากที่สุดแต่ก็รองจากจิต สูงสุดของที่สุด คือ จิต

จิตเป็นทรัพย์อันเลอค่าหาสิ่งใดมาเทียบไม่ได้ เสียทรัพย์ใดๆก็ไม่เท่าเสียจิตเพราะถ้าจิตเสียและในที่สุดท่านเสียจิตเมื่อใดทรัพย์ทั้งหลายบรรดามีนั้นก็ล้วนไม่มีค่าล้วนหมดความหมาย เพราะถ้าจิตเสียเมื่อใดชีวิตที่เกิดมานี้หมดสิ้นทันทีกลายเป็นคนไร้ค่า เมื่อชีวิตหมดค่าแล้วทรัพย์ก็ไม่มีค่าหมดราคาทันทีเช่นกัน คิดแล้วน่ากลัวมิใช่น้อยต้องรักษาจิตให้ดีกันทุกคน

คนเรามุ่งหาแต่ทรัพย์สินภายนอกอันเป็น เงินทอง บ้านช่อง รถยนต์ เครื่องอำนวยความสะดวก และทรัพย์ที่อุปโลกสมมติขึ้น ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียงเกียรติยศหรืออะไรๆก็ตาม สิ่งต่างๆที่ท่านออกแรงอย่างสุดแรงเกิดเพื่อให้ได้มานั้นท่านก็ยังไม่อาจมั่นใจได้ว่า มีค่าจริงหรือ และมีไปเพื่ออะไร แต่สิ่งต่างๆที่ว่านี้ก็ต้องมีไว้ เพื่อสังคมมันเป็นวัฒนะธรรมไปแล้วว่าต้องมีและมันยังเป็นเครื่องวัดเครื่องอวดโฉมอวดดีกันในสังคมอีกด้วย ก้อเพื่อหน้าตาที่ท่านปั้นแต่งพอกพูนจนหนาแน่นขูดให้บางเบาลงยากเหลือเกิน สิ่งต่างๆนี้เข้ามาบดบังความจริงถึงทรัพย์แท้ๆว่า ทรัพย์ที่มีค่าที่สุดของมนุษย์นั้น คือ ความดีและคุณค่าของสิ่งมีชีวิต ไม่มีสัตว์ใดๆในโลกนี้ที่เกิดมาไม่มีค่า ทุกตัวสัตว์เกิดมาเพื่อสร้างคุณประโยชน์และคุณค่าให้แก่กันและกัน แม้แต่เชื้อโรค คิดดูว่าในร่างกายของสิ่งมีชีวิตทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ หรือแม้แต่ต้นไม้ใบหญ้าก็มีเชื้อโรคอาศัยอยู่ถ้าไม่มีเชื้อโรคเลยชีวิตก็อยู่ไม่ได้ ดังนั้นก็สรุปได้ว่าทุกชีวิตมีค่าในตนเองแต่เจ้ามนุษย์ผู้มากเรื่องอย่างเราๆกลับมองความจริงที่มีนี้ด้วยความเห็นแก่ตัว ปั้นหน้าปั้นตาเสแสร้งแกล้งมายาขยันหาหน้ากากมาใส่หรอกกันไม่รู้สักกี่หน้าเปลี่ยนกันแทบไม่ทัน มันเป็นค่านิยมที่ผิด จิตใจก็ถูกรดราดด้วยสิ่งย้อมให้เป็นมายา ดังถูกย้อมด้วยน้ำเมา แต่นี่เราเมาชีวิต เมาชีวิตนี่เมายิ่งกว่าเมาเหล้าอีกนะ เมาเหล้าเช้าสายก็หายไปแต่เมาชีวิตบางคนตายแล้วเกิดใหม่ยังไม่หายเมาเลย น่าหัวเราะเยาะจริงๆ สำหรับพวกที่เมาโลกเมาชีวิต ชนิดยอมตายดีกว่าสร่างเมา เมื่อไรสติจะกลับคืนมากันเสียทีหนอ เสียงหัวเราะที่มีกันอยู่เหมือนว่ารื่นเริงเสียเต็มประดานั้น ถ้าตั้งใจฟังให้ดี เสียงหัวเราะนั้นคล้ายเสียงคร่ำครวญและหรือ เสียงหอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนมากกว่า มีประโยชน์อะไรกับการเสแสร้งแกล้งว่ามีความสุขเสียเต็มประดา ทั้งที่เรากำลังหวาดกลัวจนตัวสั่นใจสั่นเสียปานนั้น กลัวแก่ กลัวเจ็บ กลัวตาย กลัวยากจน กลัวลำบากกลัวการเปลี่ยนแปลง กลัวถูกจับได้ว่าเสแสร้งนั่นประไรอันสุดท้ายนี่เรียกว่า กลัวเสียหน้า และที่สุดชีวิตของทุกผู้นามเมื่อเข้าสู่ปัจฉิมวัย คือ เมื่อร่างกายเริ่มอ่อนล้าลง กำลังวังชาเริ่มถดถอย สายตาเริ่มพร่ามัว เราและท่านผู้หนีไม่พ้นมือมัจจุราชก็เริ่มมองหาความอบอุ่นทางใจความอบอุ่นทางกายกันอีกครั้งคือ มองหาสัจจะธรรมของชีวิต ทุกจิตวิญญาณเดินบ้างวิ่งบ้างเข้าหาความเงียบสงบ ความเรียบง่าย ความสบายๆเบาๆ และอิสระของชีวิต เสรีภาพของจิตที่ไร้สิ่งผูกมัดทางวิญญาณ และนี่คือขุมทรัพย์มหาสมบัติที่มีค่าและยิ่งใหญ่ที่สุด อิสระของชีวิตและเสรีภาพของวิญญาณ ตลอดชีวิตที่เวียนว่ายตายเกิดไม่รู้กี่ภพชาตินี้ล้วนต่อสู้และค้นหาอิสระของชีวิตและเสรีภาพของวิญญาณทั้งสิ้น จิตใจต้องการสิ่งหล่อเลี้ยงที่ สะอาด สงบ สบาย และให้เสรีแก่จิตอย่างเต็มที่และตั้งอยู่บนความถูกต้อง เพื่อตระเตรียมชีวิตสู่โลกใหม่ที่ดีกว่าเก่า เพราะเราเริ่มหวั่นกลัวแล้วที่จะต้องไปเกิดใหม่ ในที่ๆจะไปนั้นน่ากลัวหรือน่ารื่นรมย์ และที่สำคัญ บุญ-บาป ที่ตนสร้างไว้นั้นตนเป็นผู้รู้เองทั้งหมด ทุกอย่างมันถูกบันทึกไว้อย่างละเอียดละออเสียจนน่าตกใจอยู่ตรงกลางแห่งดวงจิต เป็นการบันทึกที่ยาวนานหาจุดเริ่มต้นไม่ได้ และหาจุดสิ้นสุดไม่เจอ นอกจากจนกว่าเราทั้งหลายจะพบและน้อมนำธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาปฏิบัติตามเมื่อนั้นเราก็จะพบอิสระและเสรีภาพแห่งจิตที่แท้จริง แต่วันนี้ตนเองนั่นแหละที่ต้องเป็นผู้ตกใจกับบันทึกลับนั้นมิใช่ใครอื่น หรือบางท่านก็เป็นสุขยิ่งกับบันทึกนั้น อิ่มบุญอิ่มเอิบเบิกบานบันเทิงใจจนใครๆก็ไม่เข้าใจ นอกจากตัวเราเองที่รู้ถึงความบริสุทธิ์ของตัวได้ดีกว่าใครๆ
หันมาแสวงหาทรัพย์ทางจิตกันเถอะเพื่อจิตใจและชีวิตอันมีค่ายิ่งนี้ แต่เวลาชีวิตกลับมีไม่มากพอต่อการแสวงหาของมีคุณค่านั้น ดังพระพุทธพจน์กล่าวไว้ว่า “ชีวิตเป็นของเหลือน้อย” จิตวิญญาณต้องการสิ่งหล่อเลี้ยงที่ บริสุทธิ์และเลิศกว่าทรัพย์ใดๆทั้งปวง เพื่อยังชีวิตในปัจจุบันและชีวิตในอนาคตทั้งภพนี้และภพหน้าให้อยู่ เป็นสุข เป็นสุข มิใช่เป็นทุกข์โทมนัสดังที่ผ่านมา ดังนั้นจงรีบหันมาหาทรัพย์ทางจิตวิญญาณทางใจสะสมไว้ในจิตของตนกันบ้างเถอะนะ ก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้สะสมบุญคือต้นเหตุแห่งความสุขนั้น จิตที่เกษมสุขด้วยลมหายใจแห่งธรรมะหล่อเลี้ยงชีวิตให้สมบูรณ์สมกับที่ได้เกิดมาเป็นคนท่านมีแล้วหรือยัง

ที่กลางดวงใจมีจิตสถิตอยู่ ที่กลางดวงจิตมีธรรมเป็นจุดศูนย์กลางแห่งพลังชีวิต เมื่อธรรมะเบ่งบานในจิตเมื่อใด ชีวิตจะเป็นดั่งดอกบัวบานที่พ้นน้ำเมื่อนั้น

ขอให้ดอกบัวในใจทุกดวงได้โผล่พ้นน้ำและเบ่งบานรับอรุณธรรมด้วยกันทุกดวงเทอญ.

อนุโมทนาสาธุ
แก้วเกษม ศรัทธาโพธิธรรม